**ชมคลิปกันก่อนครับ**
"เส้นทางสวยแปลกตา" |
"หออัครศิลปิน" |
"พี่โต้งเจ้าหน้าที่อุทยาน" |
"พี่สมคิดเจ้าที่พิทักษ์ป่า" |
"ข้าวเหนียวกุนเชียงช่วยชีวิต" |
เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นมาแต่เช้ามืดออกมายืนสูดอากาศบริสุทธิ์ที่กำลังเย็นสบายซึ่งไม่พบเจอในกรุงเทพ ลุงสำเนียงยามก่ะกลางคืนของอุทยานก็เข้ามาชวนผมคุยเรื่องต่างๆมากมาย ลุงแกเป็นคนพูดเก่งครับเล่าเรื่องราวต่างๆให้ผมฟังเยอะโดยเฉพาะประวัติของอุทยานแกจำได้หมดว่าเปิดเมื่อไหร่เป็นสวนป่าปีไหนเป็นวนอุทยานปีไหนและเป็นอุทยานปีไหนมีหัวหน้าอุทยานมาแล้วกี่คนชื่ออะไรบ้างและลุงแกยังบอกผมอีกว่าอทุยานแห่งชาติเขาสามหลั่นนี้เป็นอุทยานที่มีขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทยและยังมีอีกหลายเรื่องที่แกเล่าให้ผมฟังแกเป็นคนพูดเก่งมากแต่แปลกที่แกบอกตลอดว่าผมพูดเก่งทั้งที่จริงผมเป็นคนฟังซะมากกว่า(ฮา) พอตะวันเริ่มส่องแสงผมก็ปั่นจักรยานออกมาจากอุทยานโดยตั้งใจจะขึ้นไปเที่ยวเขาพระพุทธฉาย สำหรับพระพุทธฉายนั้นเป็นภาพสีของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า มีลักษณะเป็นเงาสีแดงคล้ายประภามณฑล หรือรัศมีโดยรอบพระพุทธรูป คล้ายสีดินเทศ มีความสูงประมาณ 5 เมตร ปรากฏประทับติดอยู่กับชะง่อนหน้าผาสูงบริเวณเชิงเขาปถวี ประดิษฐานอยู่ในมณฑป ณ เงื้อมเขามาฎะกะ (เขาช่องลม) ค้นพบสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ซึ่งค้นพบพร้อมกับรอยพระพุทธบาทที่สระบุรี ในบริเวณใกล้เคียงมีมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาทเบื้องขวามณฑปหลังนี้สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าเสือและมีต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่อัญเชิญมาจากลังกา เมื่อ พ.ศ. 2492 ทุกปีจะมีงานนมัสการพระพุทธฉายพร้อมกับงานนมัสการรอยพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรี แต่น่าเสียดายช่วงที่ผมไปนั้นยังเช้าอยู่ผมไม่ได้เข้าไปถ่ายภาพรอยพระฉายเพราะเขาบอกยังไม่เปิดผมจึงเดินขึ้นไปบนยอดเขานัมัสการรอยพระบาทซึ่งตอนผมไปยังไม่เปิดเหมือนกันแต่โชคดีมีเจ้าหน้ากำลังทำความสะอาดบริเวณนั้นอยู่เขาจึงเปิดให้ผมเขาไปนมัสการรอยพระพุทธบาท
หลังจากเดินเที่ยวในเขาพระฉายพร้อมกับถ่ายภาพวิวสวยๆและเจ้าจ๋อที่อาศัยอยู่บริเวณวัดพระฉายแล้วผมก็เดินทางกลับมาที่อุทยานเพื่อที่จะขึ้นไปเที่ยวบริเวณน้ำตกเขาสามหลั่น สำหรับการมาเที่ยวน้ำตกเขาสามหลั่นในช่วงนี้นั้นไม่มีน้ำเรียกว่าน้ำแห้งเลยก็ได้ผมได้รับคำตอบจากพี่โต้งว่าที่น้ำแห้งเพราะอ่างเก็บน้ำด้านหน้าอุทยานแตกตั้งแต่ปี54เมื่อคราวน้ำท่วมใหญ่ประเทศไทยนั่นล่ะครับ แต่ทางอุทยานยังไม่ได้งบประมาณมาซ่อมแซมจึงทำให้ไม่สามารถกักน้ำไว้ได้ในฤดูฝน แต่พี่โต้งก็บอกว่าปีหน้าอุทยานอาจจะได้งบประมาณมาพัฒนาพื้นที่และซ่อมแซมอ่างเก็บน้ำซึ่งก็จะเร่งทำถ้าได้งบมา และระหว่างที่ผมกำลังเดินถ่ายภาพน้ำตกเขาสามหลั่นอยู่ผมก็เจอกับพี่สมคิดเจ้าหน้าที่พิทักษ์อุทยานเดินลงมาจากบนยอดเขาและพี่เขาก็แนะนำให้ผมเดินขึ้นต่อไปอีกจะมีอ่างเก็บน้ำเขาสามหลั่นซึ่งตอนนี้พวกพี่สมคิดกำลังปรับปรุงตัดถางต้นกระถินยักษ์ออกเพื่อปรับปรุงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและกางเต็นท์ซึ่งเมื่อผมเดินขึ้นไปก็ต้องบอกว่าสวยจริงครับและมีร่องรอยการตัดต้นไม้ถางหญ้าเพื่อเปิดพื้นที่ของพี่สมคิดตลอดแนวถ้าทำเสร็จผมว่าที่นี่คือจุดกางเต็นท์ที่น่ามาพักผ่อนมากเพราะอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ นอกจากนั้นพี่สมคิดกับเพื่อนๆเจ้าหน้าที่ยังบอกกับผมว่าที่เขาสามหลั่นนั้นมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจและอยากให้รัฐบาลพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ นั่นก็คือรอบเขาสามหลั่น เขาแดง จะมีแนวบังเกอร์ของกองทัพญี่ปุ่นในยุคสงครามโลกครั้งที่สองอยู่ ซึ่งถูกขุดเอาไว้เป็นหลุมเพาะรอบทั้งเขา แต่ละหลุมมีความลึกท่วมหัวและมีร่องรอยการเอาท่อนไม้มาปิดแนวหลุมไว้เพื่อกันไม่ให้ทหารสัมพันธมิตรเห็นอีกทั้งแต่ละแนวจะยาวเชื่อมกันมีจุดที่เป็นป้อมปืนที่ซุกซ่อนอยู่ในโพรงหินซึ่งปากกระบอกปืนจะจ่อไปทางกรุงเทพและอยุธยานอกจากนั้นพวกพี่เขายังบอกว่าในสมัยก่อนสามารถมองได้ไกลถึงรังสิตพื้นที่นี้จึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่กองทัพญี่ปุ่นมาตังไว้นั่นเอง เสียดายที่ผมเซฟรูปและคลิปวีดีโอมาจากคอมของพี่สมคิดไม่ได้แต่ก็บอกกับแกว่าไว้มีโอกาสผมจะให้เขาพาขึ้นไปดูแนวบังเกอร์เหล่านั้นพี่สมคิดบอกว่าเวลานี้บางหลุมก็โดนชาวบ้านไปรื้อขโมยไม้ที่ปิดปากหลุมไปทำให้ดินถล่มถมหลุมจนตื้นบางแห่งก็มีการขุดเอาของใช้ทหารญืี่ปุ่นไปขายซึ่งน่าเสียดายมากและยังบอกว่าที่บริเวณนั่นทุกปีจะมีชาวญี่ปุ่นเดินทางมาเพื่อสักการะดวงวิญญาณของบรรพบุรุษพวกเขา
"อ่างเก็บน้ำเขาสามหลั่นที่กำลังพัฒนาเพื่อเป็นจุดกางเต็นท์" |
ผมเดินกลับลงมาจากอ่างเก็บน้ำเขาสามหลั่นก็มาเจอกับคณะของเด็กๆจากโรงเรียนพระฉายที่มาเข้าค่ายธรรมะกันกำลังส่งเสียงเจี้ยวจ้าวทำให้เริ่มมีความรู้สึกเหมือนกับที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นมาอีกครั้งเพราะตลอดวันที่ผมมาถึงมีเพียงผมคนเดียวหัวโด่ที่เป็นนักท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่อทุยานบอกกับผมว่าส่วนมากคนมาเที่ยวจะถามก่อนเลยว่าน้ำตกมีน้ำมั้ยพอบอกไม่มีน้ำก็จะกลับกันไม่เข้ามาเที่ยวทำให้ที่นี่มีคนเข้ามาเที่ยวค่อนข้างน้อยนั่นเอง แสงตะวันเริ่มอ่อนลงผมปั่นเจ้าปรอทออกไปหาอะไรกินนอกอุทยานเช่นเดิมเพราะร้านค้าสวัสดีการที่นี่ปิด(ก็ไม่มีนักท่องเที่ยวนี่นา)ก่อนจะกลับมาอาบน้ำและเตรียวตัวนอนพักผ่อนเพราะพรุ่งนี้ผมจะเดินทางกลับบ้าน แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรลุงสำเนียงก็มาเข้าเวรพร้อมหอบหมอนและผ้าห่มมาให้เพราะกลัวผมหนาวและเริ่มชวนผมคุยอีก กว่าผมจะร่ำลาขอตัวแกได้ก็เกือบสามทุ่ม และแกก็ทิ้งท้ายว่า "ผมคุยเก่ง (ฮา)"
เช้ารุ่งขึ้นผมร่ำลาอุทยานแห่งชาติที่เล็กที่สุดในประเทศในช่วงสายๆ และปั่นออกมาพร้อมกับรอยยิ้มในใจแม้นที่นี่จะเล็กและไม่สวยเด็ดเหมือนอุทยานที่มีชื่อเสียงแต่ก็มีน้ำใจมากมายจากเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งนี้ ไว้มีโอกาสผมจะกลับมาเยี่ยมเยียนที่นี่อีกโดยเฉพาะเรื่องบังเกอร์ของทหารญี่ปุ่นที่ผมยังอยากจะไปดูด้วยตาของตัวเอง สายลมเย็นๆพัดผ่านตัวผมไปล้อจักรยานยังหมุนต่อไปเรื่อยๆเช่นเดียวกับชีวิตของเราที่ยังคงต้องหมุนเดินต่อไป
**ชมภาพถ่ายจากทริปนี้ได้ที่นี่นะครับ**