เมื่อถึงวันเดินทางผมตื่นนอนแต่เช้าอาบน้ำและดื่มกาแฟก่อนที่จะปั่นจักรยานน้องฟ้าของผมมุ่งหน้าไปสถานีรถไฟหัวลำโพง ในการเดินทางไปทริปนี้ผมไม่เตรียมอะไรไปมากนักมีเพียงเป้หลังหนึ่งใบที่ใส่เสื้อผ้าเพราะผมตั้งใจจะนอนค้างที่บ้านโป่งหนึ่งคืนก่อนที่จะปั่นจักรยานกลับกรุงเทพในวันถัดไป
ผมออกเดินทางจากที่พักย่านรามอินทรามุ่งหน้าฝ่าการจารจรช่วงเช้าวันศุกร์ซึ่งรถก็ไม่มากนักอาจจะเป็นเพราะช่วงนี้โรงเรียนเริ่มปิดเทอมกันบ้างแล้ว ผมชอบถนนในกรุงเทพเวลารถไม่มากแบบนี้เพราะมันรู้สึกสูดอากาศได้สบายจมูกกว่าอีกอย่างถนนโล่งก็ทำให้เราปั่นจักรยานได้ง่ายสบายๆและทำเวลาได้เร็วขึ้นผมมาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพงตอนประมาณ7โมงเช้า(เร็วกว่าที่คาดไว้เยอะ) เพราะจะได้มาเตรียมตัวขอรับตั๋วรถไฟฟรี ใช่ครับผมเดินทางในทริปนี้ผมจะใช้บริการรถไฟฟรีดังนั้นผมจึงต้องมาแต่เช้าเพราะหากเราจะเดินทางโดยรถไฟฟรีเราต้องมาแจ้งขอตั๋วก่อนเวลารถออกจากสถานีอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง และเมื่อมาถึงผมก็ไปสอบถามเจ้าหน้าที่ออกตั๋วเพื่อขอตั๋วไปบ้านโป่ง ราบบุรีแต่ปรากฎว่าเจ้าหน้าที่แจ้งผมว่าขบวนรถตอนเช้านั้นไม่อนุญาติให้นำจักรยานขึ้นเพราะขบวนรถไฟฟรีไม่มีตู้ขนสินค้า...อ้าว...งานงอกแล้วผมเพราะหากผมจะรอรถไฟอีกขบวนที่มีตู้สัมภาระและไม่ใช่รถไฟฟรีผมก็ต้องรถถึงบ่ายโมง แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าอยากเอาขึ้นลองขออนุญาติกับเจ้าหน้าที่ประจำขบวนรถถ้าเขาอนุญาติก็ค่อยมาเอาตั๋ว โอเค...ก็ยังดีกว่าไม่ได้ลุ้น(ฮา)
**บรรยาาศยามเข้าสถานีหัวลำโพง** |
**ฟู๊ตเซอร์เตอร์ของสถานีจูงจักรยานเข้าไปได้** |
**ถ้านำจักรยานมาก็มาจ่ายค่าระวางที่นี่ครับ** |
สำหรับการยกจักรยานขึ้นรถไฟนั้นเนื่องจากผมยกขึ้นในตู้โดยสารไม่ใช่ตู้ขนสัมภาระประตูของตู้โดยสารจะกว้างพอที่คนสองคนเดินสวนกันได้ก็จริงแต่ช่องตรงกลางเขาจะมีเหล็กกั้นแบ่งครึ่งเอาไว้ทำให้การยกจักรยานขึ้นลงนั้นค่อนข้างลำบากแต่ถ้าเป็นจักรยานพับก็ไม่มีปัญหาลองดูจากภาพประกอบนะครับจะเห็นว่ามีโครงเหล็กแบ่งช่องกั้นเอาไว้ ซึ่งต่างกับการยกจักรยานหรือขนสินค้าขึ้นตู้สัมภาระที่เป็นประตูเปิดโล่งกว้างๆมากทีเดียว หลังจากยกจักรยานขึ้นบนรถไฟเรียบร้อยผมก็ชำระค่าระวางสินค้าเพราะผมไม่ได้ชำระค่าระวางสินค้าจากสถานี โดยผมเสียค่าระวางจักรยานไป100บาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็จะออกใบเอกาสารให้เราด้วยครับ สำหรับผู้ที่ใช้จักรยานพับเจ้าหน้าที่เขาบอกว่าไม่ต้องเสียค่าระวางสินค้าซึ่งหมายความว่าคุณสามารถพับจักรยานเก็บให้เรียบร้อยแล้วนำมาขึ้นรถไฟได้เลยครับ
**ประตูจะมีเหล็กแบ่งช่องทางเดินไว้** |
**ผมเลือกจอดจักรยานชิดแนวเบาะควรเลือกเบาะนั่งตอนยาวเพราะจะไม่เก่ะก่ะมากนัก** |
การนั่งรถไฟเดินทางไปแบบนี้มันทำให้เราได้เห็นบรรยากาศอีกแบบหนึ่งซึ่งต่างจากการที่เราขับรถไปเอง ส่วนพื้นที่บนรถไฟขบวนที่ผมนั่งไปก็ค่อนข้างกว้างขวางพอสมควรและมีจำนวนผู้ใช้บริการไม่มากนักเมื่อสอบถามเจ้าหน้าบนรถไฟก็ได้รับคำตอบว่าคนจะใช้บริการมากช่วงวันหยุด ลองดูภาพด่านล่างครับเป็นภาพบรรยากาศระหว่างที่นั่งรถไฟบางครั้งก็ได้เห็นภาพสวยๆมุมมองดีๆกัน ผมว่ามันอาจจะเป็นความสนุกอีกอย่างของคนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพแนวสตรีทเลยก็ได้
**บรรยากาศจากการนั่งรถไฟเที่ยว** |
นั่งรถไฟราวๆสองชั่วโมงก็มาถึงสถานีรถไฟบ้านโป่ง ผมต้องรีบยกจักรยานลงเพราะรถจอดไม่นานนัก ในการยกลองอาจจะต้องตะแคงรถเล็กน้อยเพื่อให้พ้นแนวเหล็กบาร์ที่แบ่งครึ่งทางเดินตรงประตูโดยตัวคุณต้องไปอยู่อีกด้านของเหล็กเพราะเราไม่สามารเดินยกตีคู่กับจักรยานได้เพราะทางจะกว้างไม่พอหรือหากคุณกลัวจะยกไม่ไหวก้าวพลาดตกบันไดก็อาจจะขอให้เจ้าหน้าที่รถไฟช่วยประคองส่งให้ก็ได้ครับ ในกรณีของผมตอนกำลังยกลงเจ้าหน้าเขาก็รีบมาช่วยประคองท้ายให้ก็ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่รถไฟไทยมากๆครับผม ไม่งั้นอาจจะมีหมูกลิ้งตกรถไฟก็ได้(ฮา)
**ถึงแล้วครับ บ้านโป่งราชบุรี** |
ลงรถเรียบร้อยผมก็ออกเดินทางไปยังสถานที่ๆเป้าหมายก่อนเลย นั่นคือฟาร์มปลาทอง โดยปั่นผ่านเส้นทางหลังสถานีเลียบแม่น้ำแม่กลองแล้วไปข้ามถนนใหญ่เข้าซอยวัด โพธิ์คู่เพื่อเข้าไปที่ฟาร์มปลาทอง ซึ่งผมมาแอบปิ๊งลูกสาวเจ้าของฟาร์ม(ฮา) อันนั้นล้อเล่นนะครับ ที่จริงแล้วผมมาทำงานของผมครับแต่ไม่เกี่ยวกับจักรยานดังนั้นขอข้ามไม่พูดถึงนะครับ ชมแค่บรรยากาศของฟาร์มไปแล้วกัน(ฮา)
ผมปั่นผ่านตามตรอกซอยต่างสิ่งที่ผมเห็นและรู้สึกได้นั่นก็คือ ตลอดเส้นทางผมไม่ใช่ตัวประหลาดหรือคนแปลกหน้าในพื้นที่นี้ เพราะผมปั่นจักรยานมันต่างกับเวลาที่เราขับรถยนต์หรือมอเตอร์ไซด์คันใหญ่เข้ามาจอดผู้คนจะมองเราเหมือนกับว่าเราคือสิ่งแปลกปลอม แต่เมื่อเป็นจักรยานผมรับรู้ได้ว่าชาวบ้านมีความรู้สึกผ่อนคลายกับเรามากกว่า
สรุปแล้วการท่องเที่ยวด้วยการนั่งรถไฟแล้วหอบหิ้วจักรยานไปด้วยไม่ใช่เรื่องยุ่งยากหรือยากเย็นอะไรขอแค่เราคิดจะทำมัน โดยไม่จำเป็นต้องไปกังวลให้มันมากมายนักและจากการเดินทางโดยใช้บริการรถไฟฟรีในครั้งนี้ผมคิดว่าเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านบทความนี้คงจะได้ข้อมูลกันไปบ้าง ส่วนใครจะไปเที่ยวที่ไหนนั้นก็อาจจะต้องสอบถามทางรถไฟก่อนนะครับว่ามีขบวนไหนและเวลาอะไรบ้าง โดยสามารถโทรสอบถามได้ที่เบอร์สายด่วน 1690 ลองสอบถามดูก่อนครับเพราะบางขบวนก็มีตู้สัมภาระแต่บางขบวนไม่มีนะครับ