วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

วันเดียว ปั่น เที่ยว ถ่าย

ช่วงวันหยุดวันปิยะมหาราชที่ผ่านมา ผมวางแผนจะออกไปเที่ยวเพื่อพักผ่อนแต่เนื่องจากเป็นวันหยุดแค่วันเดียวดังนั้นจะไปเที่ยวสถานที่ไกลๆก็คงจะไม่ค่อยเหมาะนัก ผมคิดว่าวันหยุดหนึ่งวันนี้ผมอยากจะเที่ยวสถานที่ใกล้ๆกรุงเทพเดินทางไม่ลำบากเพราะครั้งนี้ผมจะไม่ขับรถไปเองแต่วางแผนว่าจะนั่งรถไฟไปเที่ยว ไปปั่นจักรยานและถ่ายภาพ ในคอนเซ็ป "วันเดียว ปั่นเที่ยวถ่าย"

ดังนั้นจังหวัดอยุธยาจึงเป็นตัวเลือกแรกที่ผมเลือก เพราะอยุธยาอยู่ไม่ไกลกรุงเทพและสามารถใช้บริการรถไฟไทยได้ อีกทั้งอยุธยามีแหล่งโบราณสถานให้เราไปเที่ยวไปถ่ายภาพได้โดยไม่จำเป็นต้องขับรถยนต์เพราะเราสามารถเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวได้ด้วยจักรยาน และทริปนี้ผมไม่เอาจักรยานของตัวเองไปแต่จะไปเช่าจักรยานปั่นแทน

เช้าวันที่ 23ตุลาคม 2557 วันเดินทางผมตื่นนอนตอนเช้าอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสบายๆที่สุด นั่นคือเสื้อยืด กางเกงขาสั้นเพราะอากาศมันร้อนใส่ขายาวดูจะไม่ไหวอีกทั้งผมคิดไว้ว่าจะต้องปั่นจักรยานและสะพายกระเป๋ากล้องจึงไม่อยากแต่งตัวสร้างภาระให้ร่างกายในระหว่างปั่นจักรยาน(ฮา) 
ผมเดินทางมาขึ้นรถไฟที่สถานีหลักสี่ในตอนประมาณ7.40 รถไฟเดินทางราวๆหนึ่งชั่วโมงนิดหน่อยก็ถึงสถานีอยุธยาซึ่งถือว่าใช้เวลาไม่นานหลังจากลงจากรถไฟแล้วผมก็เดินข้ามถนนมาหาของเติมพลังให้กระเพาะตัวเองหน้าสถานี และหลังจากนั้นผมก็เดินไปเช่ารถจักรยานจากร้านให้เช่าซึ่งมีอยู่หลายร้านมากในบริเวณสถานีรถไฟอยุธยาโดยค่าเช่าจักรยานคือคันละ40บาท/วัน หลังจากพยามเลือกจักรยานที่ดูเหมาะกับตัวผมเองที่สุดก็ได้มาหนึ่งคันสภาพแบบพอทนได้(ก็สมราคาค่าเช่าล่ะครับแต่ถ้าใครต้องการรถจักรยานดีๆก็คงต้องยกจักรยานมาเองครับ)จักรยานที่เช่าเป็นจักรยานแม่บ้านสภาพเดิมเคยมีเกียร์ดุมแต่ตอนนี้เกียร์เจ๊งใช้ไม่ได้แต่ผมไม่ได้สนใจตรงจุดนั้นมากนักเพราะคิดว่าเรามาปั่นเที่ยวในระยะทางไม่ไกลคือราวสักสิบกว่ากิโลเมตรส่วนการเช่าก็ไม่ได้ยุ่งยากครับให้บัตรประชาชนกับร้านไว้พร้อมกับชำระเงินค่าเช่าจากนั้นทางร้านก็ให้โซ่ล็อคกุญแจมาหนึ่งชุดเพื่อล็อคจักรยานและให้แผนที่มาหนึ่งแผ่นพร้อมเขียนแนะนำว่ามีสถานที่ตรงนั้นโน่นนี่ซึ่งผมไม่ได้ใช้ครับเพราะผมอ่านแผนที่ร้านทำมาไม่รู้เรื่องก็เลยตัดสินใจใช้ GPปาก ถามทางชาวบ้านดีกว่าถึงชัวร์ไม่มีหลง(ฮา)

"สถานีรถไฟอยุธยา"


หลังเช่าจักรยานเรียบร้อยผมก็มุ่งหน้าปั่นจักรยานไปยังวัดมหาธาตุทันทีเพราะผมต้องการไปถ่ายภาพเศียรพระที่ถูกต้นโพธิ์ขึ้นคลุมครอบไว้และหลังจากนั้นในช่วงบ่ายผมก็วางแผนไว้ว่าจะปั่นจักรยานไปที่ตลาดน้ำอโยธยาเพื่อชมบรรยากาศตลาดน้ำย้อนยุคก่อนที่จะปั่นจักรยานกลับมาที่สถานีรถไฟเพื่อคืนรถจักรยานและรอรถไฟกลับบ้านตอนช่วงเย็นซึ่งก็เป็นการจบแผนการเที่ยวในทริปนี้


หลังจากที่ได้จักรยานเรียบร้อยผมก็ปั่นจักรยานผ่านหน้าสถานีรถไฟตรงไปยังวัดมหาธาตุโดยเมื่อปั่นผ่านหน้าสถานีรถไฟไปสักพักก็ถึงทางแยกผมก็เลี้ยวขวาขึ้นสะพานปรีดี-ธำรงข้ามแม่น้ำป่าสักมุ่งไปตามถนนหลักและไปเลี้ยวขวาปั่นผ่านศูนย์กีฬาอยุธยาวิทยาลัยตรงผ่านวงเวียนไปอีกเล็กน้อยก็ถึงวัดมหาธาตุแล้วครับ ระยะทางก็ราวๆ4กิโลเท่านั้น เส้นทางที่ผมปั่นในวันนั้นก็ถือว่าสบายๆครับ สะพานไม่สูงชันอะไรรถบนถนนก็ไม่แน่หนา และเมื่อเลี้ยวขวาเข้ามาในบริเวณวัดมหาธาตุนั้นรู้สึกร่มรื่นเพราะมีต้นไม้ใหญ่เยอะมากผมจอดจักรยานเอาไว้ในบริเวณที่มีรถจักรยานมาจอดซึ่งตรงนี้ผมสังเกตเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติซึ่งจะเป็นชาวยุโรปส่วนใหญ่เช่าจักรยานมาปั่นเที่ยวกันเยอะมากส่วนนักท่องเที่ยวชาวเอเชียผมเห็นมากันเป็นกรุ๊ปกับรถทัวร์ไม่เห็นปั่นจักรยานเที่ยวสงสัยกลัวร้อนหรือไม่ก็กลัวตัวดำ(ฮา) หลังจากจอดจักรยานเรียบร้อยผมก็เข้าไปถ่ายภาพในบริเวณวัดเพื่อถ่ายภาพเศรียพระโดยการเข้าชมวัดมหาธาตุนั้นมีการเก็บค่าบริการเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติแต่คนไทยเข้าชมฟรีครับ(เย้...) เมื่อผมเดินเข้าไปถึงจุดที่มีเศียรพระก็พบว่ามีคนมารุมถ่ายภาพกันเยอะมากๆทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติซึ่งผมก็เพิ่งทราบว่ายูเนสโกยกย่องให้"เศียรพระในรากต้นโพธิ์" เป็น 1 ในที่สุดของมรดกโลก936แห่งทั่วโลกดังนั้นจึงมีนักท่องเที่ยวมาถ่ายภาพกันเยอะและหลังจากเดินท่อมๆถ่ายภาพอยู่ในวัดมหาธาตุจนถึงเวลาเที่ยวกว่าๆผมก็กลับออกมาเพื่อเตรียมตัวปั่นจักรยานไปยังตลาดน้ำอโยธยา ซึ่งผมจะปั่นย้อนกลับไปทางเดิมที่ปั่นมาเมื่อเช้าโดยปั่นข้ามสะพานปรีดี-ธำรงเช่นเดิมและตรงลงจากสะพานไปจนถึงเจดีย์วัดสามปลื้มแล้วเลี้ยวซ้ายปั่นตรงไปราวๆสักหนึ่งกิโลก็จะถึงตลาดน้ำอโยธยา ซึ่งรวมระยะทางจากวัดมหาธาตุถึงตลาดน้ำอโยธยาก็ราวๆ5กิโลแค่นั้น เมื่อผมปั่นจักรยานมาถึงตลาดน้ำอโยธยาพบว่ามีรถเยอะมากเพราะมีคนมาเที่ยวกันค่อนข้างมากที่นี่ผมสามารถจอดจักรยานได้เพราะเขามีที่จอดจักรยานไว้ให้แต่ก็ไม่ดีนักหรอกครับแต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย
"วัดมหาธาตุ"

"ตลาดน้ำอโยธยา"

สำหรับบรรยากาศตลาดน้ำอโยธยาผมขอบอกตามตรงครับว่าผมไม่ประทับใจและผมค่อนข้างผิดหวังเพราะมันไม่เหมือนกับที่ผมคาดไว้ว่าจะต้องเป็นตลาดน้ำย้อนยุคที่ดูดีมีบรรยากาศที่ริมน้ำที่ร่มรื่น แต่พอเข้ามาปรากฎว่าไม่ใช่ครับ มันไม่โดน บริเวณตลาดน้ำเป็นเหมือนคลองที่ขุดขึ้นมาใหม่มีเรือนำเที่ยวตลาดน้ำด้วยนะเรือผมเห็นแต่งแบบเรือมาดเรือโบราณสมัยก่อนแต่ดันติดเครื่องแบบเรื่องหางยาวซะงั้น เฮ้อ... ส่วนบรรยากาศร้านค้าก็ไม่น่าตื่นตาตื่นใจหลายๆร้านเป็นร้านขายของทั่วๆไปมีขายกระทั่งซองมือถือ ขากล้องถ่ายภาพเซลฟี่ บลาๆๆเป็นอะไรที่เราพบเจอได้ตามห้างหรือเปิดท้ายขายของทั่วๆไปส่วนที่ดูเหมือนจะเป็นไฮไลท์คือช้างนำเที่ยวผมไม่ได้ขึ้นขี้กียจเพราะเคยขึ้นบ่อยแล้วและเห็นมีอีกกิจกรรมคือให้คนไปถ่ายภาพกับเสือโคร่งโดยคิดค่าถ่ายภาพกับเสือ100บาท นอกนั้นก็มีให้หญ้าให้นมแพะ ให้อาหารปลาไม่รู้สิครับสำหรับผมไม่ตื่นเต้นอะไรกับของพวกนี้เลยแต่สำหรับเด็กๆอาจจะตื่นเต้นนอกจากนั้นก็มีโรงละครซึ่งผมก็เข้าไปนั่งรอดูนะครับแต่ไม่ทันได้ดูเพราะเวลามันกระชั้นจึงต้องรีบกลับมาก่อนแต่โดยรวมๆสำหรับผมการมาเที่ยวตลาดน้ำอโยธยามันไม่มีความรู้สึกแบบว่า เฮ้ย...กรูชอบ กรูประทับใจไม่มีความรู้สึกเช่นนี้เลยครับเมื่อมาเที่ยวที่ตลาดน้ำอโยธยาแต่หากจะมาเที่ยวอีกได้มั้ยคำตอบก็คือได้ครับแต่ผมคงไม่คาดหวังว่าจะได้เห็นอะไรที่มันอลังการถ้าจะมามันคงเป็นเพียงแค่การมาเปลี่ยนบรรยากาศที่นั่งกินข้าวที่เดินเล่นเท่านั้น

ผมกลับออกมาจากตลาดน้ำอโยธยาก็ปั่นจักรยานกลับมายังร้านจักรยานบริเวณสถานีรถไฟอยุธยา ซึ่งก็มีระยะทางสั้นๆประมาณ2กิโลเมตรกว่าๆหลังจากทำเรื่องส่งคืนจักรยานเรียบร้อยผมก็มาซื้อตั๋วรถไฟกลับกรุงเทพเที่ยวบ่ายสามโมงกว่า อ้อ...ลืมบอกไปครับการนั่งรถไฟมาปั่นจักรยานเที่ยวที่อยุธยาผมเสียค่าตั๋วรถไฟเพียงเที่ยวละ20บาทเท่านั้นไปกลับก็เพียง40บาท และระยะทางรวมในทริปการปั่นจักรยานเที่ยวอยุธยาครั้งนี้ก็ประมาณ11กิโล ซึ่งก็เป็นระยะทางที่ปั่นได้สบายๆและเป็นการท่องเที่ยวที่ประหยัดและได้ประสบการณ์การท่องเที่ยวไปอีกแบบและแม้นในทริปนี้ผมจะไม่ประทับใจสถานที่เที่ยวบางส่วนแต่โดยรวมผมก็ชอบที่ได้มาเช่าจักรยานปั่นเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของอยุธยาเมืองมรดกโลกแห่งนี้



รวมภาพบรรยากาศการท่องเที่ยวเมืองอยุธยาในทริปนี้ครับ
"นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาตินิยมเช่าจักรยานปั่นเที่ยว"

"บริเวณวัดมหาธาตุ อยุธยา"


"ตลาดน้ำอโยธยาตลาดย้อนยุค แต่เรือนี่ทำให้ผมเสียฟิลเลย"

"ไหว้พระก่อนเข้าตลาด"

"บรรยากาศในตลาดน้ำอโยธยา"

"เวทีแสดงภายในตลาดน้ำอโยธยา"

"ช้างงาสวยทีเดียว"

"มีให้อาหารแก่ะ"

"ก๋วยเตี๋ยวเรือ"

"บริเวณด้านทางเข้าตลาดน้ำอโยธยา"

"ที่จอดจักรยานภายในตลาดน้ำอโยธยา"

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เมื่อต้องเลือกสองเสือปั่นในเมืองกรุง Road bike VS Mountain bike

จากการที่ผมได้ทดลองปั่นเจ้าปรอท(road bike)ในเมืองสำหรับผมแล้วมันให้ความรู้สึกต่างกับน้องฟ้า(mountain bike)อยู่พอสมควรดังนั้นผมจึงรวบรวมจุดที่คิดว่าน่าจะเป็นประเด็นสำคัญมาให้อ่านกันเพื่อเป็นการเปรียบเทียบในการปั่นสองเสือนี้ไปทำงานและเดินทางในเมืองอย่างจริงๆจังๆที่ไม่ใช่เรื่องของจักรยานแฟชั่นหรือการแข่งขันนะครับ

"เจ้าปรอท"
"น้องฟ้า"
ก่อนอื่นผมขออธิบายให้เข้าใจกันก่อนนะครับ ผมไม่ใช่นักปั่นจักรยานหรือเทสไรเดอร์นะครับผมแค่คนใช้จักรยานเดินทางในชีวิตประจำวันและจักรยานที่ผมใช้คันแรกก็เป็นจักรยานไทยบ้านเรียกง่ายๆจักรยานราคาถูกนั่นล่ะส่วนอีกคันเป็นเสือทัวร์ริ่งวินเทจแต่ก็ไม่ใช่จักรยานเทพอะไรที่ไหนโดยส่วนนี้ผมเขียนตามความรู้สึกของผมเพราะผมต้องใช้จักรยานเหล่านี้เพื่อเป็นพาหนะเดินทางไปมาในชีวิตประจำวันบนถนนหลวงในกทม.โดยมีระยะทางเฉลี่ย40กิโลเมตร/วัน(บวกลบแล้วแต่วันและเส้นทางที่ใช้) ดังนั้นจึงขอย้ำว่าบทความที่แสดงความคิดเห็นนี้มันจึงเป็นมาตราฐานของผมฟิลลิ่งความรู้สึกของผมที่ใช้งานจริงๆซึ่งมันไม่ใช่มาตราฐานสากลอีกทั้งไม่ต้องห่วงว่าผมจะมาขายสินค้าเพราะผมไม่ได้มาอวยเพื่อขายของดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าผมจะเชียร์ใคร และหากเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านบทความนี้จะนำไปเป็นแนวทางประกอบเพื่อตัดสินใจในการเลือกจักรยานเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันก็ยินดีครับ เอาล่ะมาเริ่มกันเลยดีกว่า

1 ความคล่องตัว
สำหรับผมแล้วหลังจากที่ได้ปั่นเจ้าปรอทและน้องฟ้าในเส้นทางเดียวกัน ระยะทางเท่าๆกันในส่วนนี้ผมมีความรู้สึกว่าน้องฟ้าทำได้ดีกว่าเจ้าปรอท แม้นรูปร่างจะดูเทอะทะกว่า น้ำหนักตัวมากกว่า แต่ด้วยแฮนด์ที่ตรงทำให้บังคับควบคุมรถได้ง่ายกว่า รวมถึงหน้ายางที่กว้างกว่าแม้นจะทำให้หนืดไปบ้างในการออกแรงปั่นแต่ก็ได้กลับมาในเรื่องของความมั่นคงในการทรงตัว โดยเฉพาะเมื่อต้องมุดในช่วงที่การจารจรติดขัดน้องฟ้าสามารถมุดได้อย่างมั่นใจและคล่องตัว ส่วนเจ้าปรอทแม้นจะมุดได้แต่ด้วยหน้ายางที่บางแคบกว่าและสภาพถนนบางช่วงเป็นหลุมบ่อและมีรอยแตกรอยนูนของพื้นถนนทำให้บางครั้งเกิดอาการหน้าเหวอเหมือนกัน ประกอบกับช่วงความยาวของรถที่เจ้าปรอทมีมากกว่าและมีองศาในการนั่งที่เอียงโน้มตัวมาข้างหน้ามากกว่าทำให้การควบคุมรถผมว่ายังไม่รู้สึกเป็นธรรมชาติเหมือนน้องฟ้า
"หลุมและรอยแยกตามถนนเป็นอุปสรรคสำหรับเจ้าปรอท"
2. ความราบรื่นในการปั่น
 การปั่นจักรยานเพื่อเดินทางนั้นผมคิดว่าความราบรื่นต่อเนื่องในจังหวะของการปั่นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องปั่นอยู่บนถนนที่มีการจารจรหนาแน่น บางครั้งรถต้องชะลอความเร็วลงแล้วก็ปั่นต่อเป็นอย่างนี้ตลอดเวลาซึ่งอาการปั่นๆหยุดๆทำให้หมดแรงง่ายๆ ดังนั้นความต่อเนื่องของจังหวะปั่นจึงมีความสำคัญและในส่วนนี้ตามความรู้สึกของผม เจ้าปรอทแม้นจะเบาในการออกแรงปั่นแต่เมื่อต้องชะลอความเร็วหรือต้องเบรคกระทันหันหรือตกหลุมหรือขึ้นเนินหรือพื้นถนนที่ขรุขระการเริ่มต้อนปั่นอีกครั้งจะมีจังหวะสะดุดดังแก๊กๆของบันไดปั่นเล็กน้อยแต่ก็ชดเชยมาด้วยการออกตัวได้อย่างนุ่มนวลและเบาแรงส่วนน้องฟ้าเมื่อเป็นเสือเกิดมาลุยการต้องหยุดแล้วออกตัวกระชากกดแรงปั่นขึ้นมาใหม่โดยสายเลือดของรถแนวนี้มันทำได้ต่อเนื่องไม่มีจังหวะสะดุดแต่ถึงจะไม่สะดุดจากการออกแรงกดบันไดหลังชลอความเร็วแต่การจะเริ่มออกตัวใหม่หากไม่สับลงเกียร์ต่ำจะมีความรู้สึกว่ามันหน่วงหนักขาเล็กน้อยแต่ในความรู้สึกหนักที่ขาบางครั้งมันก็สนุกและรู้สึกถึงพละกำลังของคุณดังนั้นหากคุณเป็นคนชอบความมันความท้าทายชอบอารมณ์แบบดิบๆน้องฟ้าน่าจะตอบโจทย์ได้ แต่ถ้าคุณชอบรถที่มันจะทยานออกตัวได้อย่างรวดเร็วต่อเนื่องและราบรื่นทำให้รู้สึกถึงรู้สึกสบายกับการปั่นโจทย์ตรงนี้เจ้าปรอทคือคำตอบของคุณ และด้วยอารมณ์ฟิลลิ่งในการปั่นที่ต่างกันแบบนี้ทำให้ผมมีความรู้สึกเลยว่านี่คือข้อแตกต่างอย่างหนึ่งของ Road bike กับ mountain bike
"ความราบรื่นและอัตราเร่งเจ้าปรอททำให้ผมเพลินเลย"


3. ความเร็วและอัตราเร่ง
แหมจะไม่พูดกันเรื่องความเร็วนี่อาจจะดูเหมือนขาดอะไรไป สำหรับรถทั้งสองคันของผมนี้ต่างกันแน่นอนโดยการปั่นจักรยานของผมๆจะใช้ความเร็วปกติเฉลี่ยที่20-25กม./ชั่วโมง โดยไม่ได้มองไปที่ความเร็วสูงสุดนะครับ(อย่าลืมว่าผมไม่ใช่นักปั่นขาแรง ผมมันแค่คนใช้จักรยานเป็นพาหนะเดินทางเท่านั้น) ซึ่งผมทดสอบโดยจับความรู้สึกจากการออกตัวและการส่งแรงปั่นเพื่อเร่งความเร็วซึ่งหลายคนคงไม่ต้องเดาก็พอจะทราบว่าเจ้าปรอทในฐานะเสือทางเรียบย่อมได้เปรียบในเรื่องความเร็วและอัตราเร่งอย่างแน่นอน ส่วนน้องฟ้าเป็นเสือภูเขาความเร็วจึงไม่ใช่แนวของมัน ข้อนี้หากใครชอบเรื่องความเร็วอัตราเร่งสปริ้นคงไม่ต้องคิดมากเพราะยังไงเสือทางเรียบย่อมปราดเปรียวกว่าเสือภูเขาแน่นอน

4. ความสบายขณะปั่น
แน่นอนครับการใช้จักรยานเป็นพาหนะเพื่อเดินทางย่อมต่างกับการใช้จักรยานปั่นเล่นในซอยหรือปั่นออกกำลังกาย เพราะการปั่นในการเดินทางบนถนนในเมืองมันมีความเครียดจากสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเช่น รถยนต์ที่วิ่งตามหลังเรามา มอเตอร์ไซด์ที่วิ่งสวนเลนออกมา พี่รถเมล์ พี่รถตู้ พี่แท๊กซี่ที่วิ่งปาดหน้าเราเพื่อรับผู้โดยสาร สภาพอากาศที่บางวันก็ร้อนอบอ้าวบางวันก็มีสายฝนโปรยปราย เสียงแตรรถยนต์ที่บีบไล่ซึ่งไม่รู้ไล่เราหรือไล่ใครที่ไหนเพราะบางครั้งเราไม่ได้ขวางทางเขาเลย จากสิ่งเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกว่าการปั่นจักรยานในเมืองเหนื่อยกว่าการปั่นจักรยานทางยาวๆนอกเมืองในระยะทางที่เท่าๆกัน ดังนั้นผมจึงชอบจักรยานที่มีท่านั่งที่สบายและไม่เมื่อล้าเวลาปั่นนานๆ ซึ่งในส่วนนี้ผมว่าน้องฟ้ากับเจ้าปรอทสำหรับผมไม่มีความรู้สึกที่แตกต่างมากนักอาจจะเพราะน้องฟ้าผมได้ไปติดมือพักเสริมมาทำให้สามารถเปลี่ยนท่าทางในการขับขี่ได้แต่ถ้าจับแฮนด์เดิมๆปั่นนานๆโดยไม่ใช่ที่พักเสริมอาการมือชาจะเป็นเรื่องปกติ ส่วนเจ้าปรอทด้วยความที่มีอารมณ์แบบทัวร์ริ่งทำให้มันมีท่าจับที่ค่อนข้างสบายเช่นกัน(แม้นดูจากรูปแล้วมันไม่น่าจะจับสบายนัก ...ฮา)โดยผมสามารถเปลี่ยนมุมจับได้หลายมุมทำให้อาการมือชาไม่ค่อยจะเกิด แต่หากผมต้องก้มตัวจับต่ำเพื่อหมอบหลบลมแล้วหรือจับอยู่ในท่าเดิมนานๆล่ะก็ผมจะมีอาการเจ็บที่อุ้งมือเพราะมีแรงกดลงที่ข้อมือค่อนข้างมากแม้นจะใส่ถุงมือแล้วก็ตามซึ่งผมคิดว่ามันอาจจะมาจากองศาของแฮนด์รถหรือพวกความยาวตัวถังหรือเพราะน้ำหนักตัวของผมด้วย(ฮา) โดยรวมการปั่นน้องฟ้าก็มีข้อเสียตรงที่ผมจะรู้สึกปวดขามากกว่าเจ้าปรอทอาจจะเป็นเพราะความไหลลื่นในการปั่นรวมถึงหน้ายางที่แคบกว่าและขนาดวงล้อที่ใหญ่ของเจ้าปรอททำให้เบาแรงกว่านั่นเอง

5. สถานะภาพขณะเดินทาง
การปั่นจักรยานในเมืองอย่างกรุงเทพผมว่ามันมีเรื่องของสภาพถนนและการจารจรที่เข้ามาเกี่ยวข้องกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย และยิ่งคุณต้องการใช้รถเพื่อเดินทางในชีวิตประจำวันแล้วด้วยผมว่าจุดนี้ล่ะครับที่จะตอบได้ว่าคุณควรใช้รถจักรยานแบบไหน เพราะเพื่อนๆที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพจะทราบว่าถนนในกรุงเทพไม่ได้ราบเรียบแต่มันเต็มไปด้วยร่องรอยแตกเล็กๆ รอยแยกนิดๆ รอยนูนหน่อยๆ พร้อมลูกเนินลูกระนาดซึ่งหากคุณขับรถยนต์คุณจะไม่รู้สึกอะไรกับร่องรอยเหล่านี้หรือรู้สึกแค่สะเทือนนิดหน่อยกับฝาท่อระบายน้ำที่คุณอาจจะรำคานเสียงดังแก๊งๆๆเวลาขับรถทับมัน แต่หากคุณปั่นจักรยานคุณจะรู้สึกว่ามันเป็นอะไรมากกว่านั้นเพราะร่องรอยเล็กๆพวกนั้นหรือเจ้าฝาท่อที่ส่งเสียงแก๊งๆๆเวลาขับรถทับมันอาจจะทำให้รถจักรยานคุณวงล้อคตเสียหลักล้มหัวทิ่มได้ซึ่งอันตรายมากหากมันเกิดขณะที่คุณกำลังปั่นอยู่บนถนนที่มีการจารจรหนาแน่นและมีรถยนต์วิ่งตามกันมาด้วยความเร็ว ดังนั้นจักรยานที่มีหน้ายางแคบและเล็กอย่างเจ้าปรอทบางครั้งอาจจะดูไม่เหมาะสักเท่าไหร่กับเมืองกรุงเมืองที่จักรยานตกท่อแบบนี้ ดังนั้นเมื่อผมต้องใช้เจ้าปรอทเดินทางในเมืองผมจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นเพราะไม่ใช่แค่จากรถที่วิ่งไปมาบนถนนแต่มันรวมถึงพื้นถนนที่ล้อจักรยานสัมผัสด้วย ส่วนของน้องฟ้าเรื่องท่อพื้นผิวถนนผมแทบจะหมดกังวลไปเลยเพราะหน้ายางที่กว้างทำให้มันสามารถวิ่งลุยผ่านรอยแตกรอยนูนได้อย่างง่ายดาย รวมถึงฝาท่อซึ่งมันสามารถลุยผ่านได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะร่วงลงไปในร่องของฝาท่อ แถมบางครั้งผมยังรู้สึกสนุกกับเนินหลุมต่างๆระหว่างการปั่นเจ้าน้องฟ้าเพราะมันได้กระโดดโลดเต้นข้ามสิ่งกีดขวางต่างๆโดยไม่ต้องกังวลว่ารถจะพังสำหรับผมแล้วอารมณ์แบบนี้มันสนุกมาก

"เส้นทางนี้ผมใช้น้องฟ้าปั่นฉลุยแถมมันส์อีกต่างหาก แต่เจ้าปรอทเจอนี่เข็นอย่างเดียว"
"หลุมขนาดนี้ไม่ใช่แค่จักรยานนะครับ มอเตอร์ไซด์ก็กลิ้งได้"


จากที่ผมรวบรวมมานี้มันอาจจะพอมีประโยชน์สำหรับเพื่อนๆที่สนใจการใช้จักรยานเป็นพาหนะเดินทางในชีวิตประจำวันจริงๆบ้าง และเพื่อนๆอาจจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปเปรียบเทียบและตัดสินใจดูว่าเพื่อนๆชอบแบบไหน ชอบความเร็ว หรือชอบความแข็งแกร่ง ชอบความปราดเปรียวหรือความมั่นคง สำหรับตัวเองผมชอบทุกๆอารมณ์ในการปั่นจักรยานและอยากให้คนไทยออกมาใช้จักรยานเป็นพาหนะเดินทางกันอย่างจริงจัง ผมไม่อยากให้จักรยานมันเป็นแค่กระแสแฟชั่นที่รอวันล้มหายจืดจางไป


วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เรื่องเล่าจากจักรยาน street photography

หลายครั้งอยู่เหมือนกันที่ผมปั่นจักรยานผ่านไปตามสถานที่ต่างๆแล้วได้เก็บภาพเอาไว้ส่วนมากภาพถ่ายที่ผมได้ถ่ายระหว่างการปั่นจักรยานนั้นมันจะเป็นภาพบรรยากาศของจักรยานของผมกับสถานที่ต่างๆ


แต่วันนี้ผมตั้งใจว่าจะถ่ายภาพจากจักรยานในมุมมองทั่วๆจากเส้นทางที่ปั่นผ่านแต่มันอาจจะเป็นมุมมองที่หลายคนมองข้ามผ่านมันเพราะมันไม่ได้น่าสนใจ แต่หากเราลองมองลงไปทุกๆภาพทุกๆสถานที่ๆเราผ่านไปมันมีเรื่องราวของมันอยู่เสมอ และการปั่นจักรยานทำให้เราได้สัมผัสกับบรรยากาศเหล่านั้นได้อย่างกลมกลืน ซึ่งภาพแนวๆนี้เราจะเรียกกันว่าภาพแบบ street photography

แน่นอนครับหากคุณขับรถยนต์หรือขี่มอเตอร์ไซด์ไปทำงานบางครั้งภาพเหล่านี้คุณอาจจะเห็นเพียงแค่ผ่านสายตาไปอย่างรวดเร็วเท่านั้นไม่ได้สำคัญเพราะเป็นแค่สิ่งข้างทาง แต่หากคุณปั่นจักรยานเพราะความช้าของมันทำให้คุณมีโอกาสที่จะมองและสัมผัสมันได้อย่างแนบแน่และกลมกลืนไปกับพื้นที่นั้นๆ











สำหรับผมนั้นการได้ปั่นจักรยานโดนเฉพาะตอนเช้าๆเพื่ออกไปซื้อของในตลาดชุมชน มันทำให้เราได้เห็นภาพต่างๆได้อย่างชัดเจนและแน่นอนครับผมได้เห็นความหลากหลายของคนที่ใช้จักรยานด้วย ทั้งหมดนี้คือผู้คนที่ใช้จักรยานและใช้พวกมันอยู่ทุกๆวัน เป็นคนส่วนใหญ่ที่ใช้จักรยานผมก็เลยเก็บภาพบรรยากาศมาฝาก ไว้โอกาสต่อไปผมจะพยามหามุมภาพสวยๆและเรื่องราวๆดีๆที่พบเจอขณะปั่นจักรยานมาแบ่งปันกันครับ


วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ทางจักรยานจำเป็นแค่ไหน

เมื่อก่อนผมก็ไม่ใช่คนที่ใช้จักรยานเดินทางจะมีก็แค่ปั่นๆเล่นแถวๆบ้าน แต่เมื่อผมเริ่มมาใช้จักรยานในชีวิตประจำวันแทนการใช้รถยนต์และรถมอเตอร์ไซด์ที่ใช้อยู่เป็นประจำและหันมาปั่นจักรยานไปทำงาน ปั่นไปหาเพื่อน ปั่นไปเที่ยวห้าง ปั่นไปโน่นนี่นั่น ปั่นมันไปเรื่อยเปื่อยจนเวลานี้จักรยานได้กลายเป็นพาหนะประจำในการเดินทางของผมไม่ว่าใกล้หรือไกล
"น้องฟ้า พาหนะคู่ใจของผม ใช้จนคุ้มเกินราคาค่าสินสอดไปแล้ว"
ผมไม่ใช่นักปั่นระดับเทพแต่จากการที่ผมได้ปั่นจริงๆจังๆบนถนนหลวงทุกวันมากว่าการปั่นแค่เป็นแฟชั่นหรือแค่จับกลุ่มปั่นเที่ยว ทำให้ผมเข้าใจที่จะเรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับการใช้จักรยานบนท้องถนนในเมืองกรุงและมีหลายครั้งที่ผมได้ยินคนพูดคุยเรื่องทางจักรยานและการที่ผมปั่นจักรยานไปทำงาน40กิโล/วันในช่วงเริ่มต้นแต่ตอนนี้เส้นทางปั่นในแต่ละวันมันเลยเถิดเกินไปกว่า40กิโลไปเยอะเพราะผมเริ่มปั่นออกนอกเส้นทางมากขึ้นและไกลขึ้นในทุกๆวันมันทำให้ผมมองเห็นว่าเส้นทางจักรยานมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนในกรุงเทพมหานครแห่งนี้

"เส้นทางจักรยาน"
เส้นทางจักรยานในความรู้สึกแวบแรกของผมคือมันสะดวกสบายดีทำให้เรานักปั่นเมืองมีความปลอดภัยมากขึ้นจากการที่เรามีช่องทางเดินรถของเราไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับรถยนต์บนถนน ดังนั้นสรุปง่ายๆว่า การมีเส้นทางจักรยานนั้นย่อมดีกว่าไม่มี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการที่ถนนไม่มีเส้นทางจักรยานมันจะทำให้เราไม่สามารถปั่นไปไหนมาไหนได้เพราะที่จริงแล้วผมมองว่าหากเราจะใช้จักรยานเป็นพาหนะเดินทางจริงๆจังๆในชีวิตประจำวันเราก็สามารถปรับตัวได้ ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย ทำไมผมเขียนแบบนี้น่ะหรือก็เพราะทุกวันนี้เส้นทางที่ผมใช้ปั่นไปทำงานมันไม่มีทางจักรยานน่ะสิครับ แต่ผมก็สามารถปั่นได้ไม่ว่าแดดจะออกหรือฝนจะตกเพื่อนๆผมเขาบอกที่ผมปั่นจักรยานทนแดดได้ทนฝนได้เพราะผมหนังหนาขี่มอเตอร์ไซด์ตากแดดโต้ลมมาเป็นสิบๆปีแล้วนี่หว่า(ฮา)
"คนขายล็อตเตอรี่(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)"
อันที่จริงผมอยากจะให้มองแบบนี้นะครับคนที่ใช้จักรยานในชีวิตประจำวันหากเรามองดูเราจะเห็นว่ากลุ่มหลักๆไม่ใช่พวกจักรยานแฟชั่นหรือพวกนักปั่นขาแรงแข่งขันทั้งหลายแต่เป็นคนธรรมดาสามัญที่ต้องทำมาหากิน อย่างคนขายล็อตเตอรี่ คนปั่นซาเล้ง คนขายพวกมาลัยและอีกมากมายที่ต้องใช้จักรยานในการเดินทางและประกอบอาชีพคนเหล่านี้ล่ะครับคือคนที่ใช้รถจักรยานบนถนนตัวจริงแต่พวกเขากลับไม่เคยเรียกร้องอะไร พวกเขาอยู่อย่างเจียมตัวและเรียนรู้ที่จะปรับตัวเองให้เข้ากับสังคมมากกว่ามาตะโกนบอกให้สังคมปรับตัวมาหาพวกเขาดังนั้นการปั่นจักรยานผมจึงไม่ได้มุ่งนับระยะทางหรือความเร็วในการปั่นแต่ที่ผมนับคือคุณเดินทางด้วยจักรยานอย่างจริงจังมากแค่ไหนบ่อยแค่ไหนเพราะการจะให้กทม.หรือรัฐมาสร้างทางจักรยานนั้นไม่ว่าจะสร้างแบบไหนปรับตรงไหนมันต้องใช้เงินทั้งนั้น ดังนั้นต้องถามก่อนว่ามันคุ้มแค่ไหนที่จะต้องมาทุ่มเงินงบประมาณเพื่อสร้างทางจักรยานและอย่าอ้างเรื่องสุขภาพเรื่องมลพิษเรื่องสิ่งแวดล้อมให้มันดูเท่บ้าๆบอๆเลยครับไม่ใช่ผมไม่เห็นด้วยนะกับเรื่องพวกนี้เพราะผมน่ะก็พวกบ้าสิ่งแวดล้อมตัวพ่อเหมือนกันและผมถามตรงๆเลย ไอ้คนที่อ้างๆแบบนี้น่ะมันปั่นจักรยานใช้ในการเดินทางในชีวิตประจำวันทุกวันจริงหรือเปล่า?

"มุมหนึ่งในเส้นทางจักรยาน"
ทางจักรยานที่กทม.สร้างมันมีรถมอเตอร์ไซด์มาวิ่ง ทางมันไม่ดี มีสิ่งกีดขวาง บลาๆๆผมจึงออกไปทดลองปั่นบนทางจักรยานซะเลยให้มันรู้ๆกันไปว่ามันได้หรือไม่ได้ และสำหรับผมการที่รถมอเตอร์ไซด์วิ่งสวนในเลนจักรยานผมพอรับได้นะไม่ใช่เพราะผมขี่มอเตอร์ไซด์แต่เพราะผมมองว่ารถสองล้อเหมือนกัน เส้นทางก็พอจะวิ่งสวนกันได้ก็อะลุ่มอะล่วยแบ่งๆกันไปส่วนวันนี้ผมทดลองพาเจ้าน้องฟ้าไปปั่นบนเส้นประดิษฐ์มนูธรรมโดยเส้นทางนี้ผมเริ่มปั่นจากบ้านพักที่รามอินทรา กม.8 ปั่นไปยาวๆเข้าเส้นประดิษฐ์มนูธรรมมุ่งหน้าไปถนนลาดพร้าวผ่าน BigCลาดพร้าวก่อนแวะหาเพื่อนนั่งคุยเรื่องงานจนเย็น โดยเมื่อออกจากบ้านเพื่อนผมก็มุ่งหน้าปั่นมาที่ BigC ลาดพร้าวเพื่อจะข้ามสะพานลอยไปอีกฝั่งโดยที่บริเวณสะพานลอยนี้จะมีทางลาดให้เข็นจักรยานขึ้นไปได้ ก็เป็นทางที่มีคนบอกเข็นๆกันไม่ได้นั่นล่ะครับผมก็ลองเข็นขึ้นครับเข็นได้แต่ไม่สะดวกนักเพราะเป็นเวลาเลิกงานคนใช้สะพานลอยค่อนข้างเยอะเวลาเข็นเราต้องปรับบันไดจักรยานให้อยู่ตรงกลางและตะแคงรถเล็กน้อยตอนที่เข็นก็จะไม่ติดบันไดแต่ช่วงคนเยอะๆตอนเย็นๆนี่อาจจะไปขวางคนที่เดินสวนกับเราแต่ก็เข็นได้ครับไม่ได้มีปัญหาแต่พอขาลงผมแบกจักรยานเดินลงมามันสะดวกกว่าสำหรับผม(ฮา) ลงจากสะพานลอยผมปั่นไปต่อที่ทาวน์อินทาวน์ที่ศรีวาราเพื่อหม่ำข้าวต้มปลาหลังจากนั้นก็ปั่นชมวิวไปเรื่อยเปื่อยบริเวณนั้น ส่วนขากลับผมปั่นออกไปศรีวราไปโผล่บริเวณแยกห้วยขวางเหม่งจ๋ายข้ามถนนจูงข้ามมาปั่นต่อเส้นประดิษฐ์มนูธรรมย้อนกลับบ้านที่ กม.8 ครั้งนี้ผมใช้เส้นทางจักรยาน90% หายไป 10% เพราะมีบางช่วงผมต้องลงไปบนถนนเพราะมีสิ่งกีดขวาง แต่โดยรวมผมปั่นได้สบายๆไม่ว่าขาไปตอนกลางวันหรือขากลับตอนกลางคืน



"ถนนลาดพร้าว มีทางจักรยานให้ปั่นได้"
"ทางจักรยานบนถนนลาดพร้าว"

"เส้นทางบนถนนประดิษฐ์มนูธรรม"

"เส้นทางปั่นจักรยาน"
"ข้าวต้มปลา ริมถนนรสชาดพอใช้ได้"
โดยเฉพาะขาปั่นกลับตอนกลางคืนมีรถจักรยานปั่นสวนทางกับผมในเลนจักรยาน 4คัน เป็นจักรยานชาวบ้าน2คัน เป็นแขกขายถั่ว 1คัน และเป็นนักปั่นแต่งตัวเต็มยศ 1คัน และขณะเดียวกันผมก็มองเห็นนักปั่นแต่งตัวดีเต็มยศใช้รถราคาแพงอีกกลุ่มปั่นตามกันเป็นพรวนบนถนนหลักตามรูปภาพที่ผมถ่ายมานั่นล่ะครับและจากภาพของนักปั่นกลุ่มนั้นก็ทำให้ผมสงสัยนะว่าเลนจักรยานมีทำไมไม่ใช้
"นักปั่นแต่งตัวดีมีราคาแต่ไม่ใช้ทางจักรยาน"

"ทางเข็นจักรยานข้ามสะพานลอย ภาพนี้ผมถ่ายขากลับนะครับเพราะไม่มีคนเลยถ่ายง่ายหน่อย"

"เส้นทางนี้กลางวันอาจจะไม่สะดวกนักเพราะจะมีร้านค้ามาทำธุรกิจบนทางนี้"

"รถยนต์ที่ยังไม่รู้จักคำว่าเคารพกฎ จอดเต็มๆทางจักรยาน"



"ยกข้ามสะพานลอยก่อนเข้าบ้านก็แถวบ้านผมไม่มีรางให้เข็นนี่(ฮา)"
ส่วนการปั่นในเส้นทางจักรยานของผมในวันนี้ก็ยอมรับครับว่ามีรถมอเตอร์ไซด์เข้ามาใช้เส้นทางจักรยานมากจริงๆ แต่ผมกลับมองว่าหากเส้นทางนี้ไม่มีรถมอเตอร์ไซด์มาวิ่งถนนเส้นคงกลายเป็นถนนร้างหรือไม่ก็เป็นที่จับจองของนักธุรกิจข้างถนนจนหมด เราคนที่ปั่นจักรยานชอบเรียกร้องกันให้สร้างให้ทำแต่เส้นทางที่มีอยู่กลับไม่ไปใช้ แต่พอมีคนอื่นไปใช้ก็ออกมาโวยวายเหมือนหมาหวงก้าง อยากให้เขาเคารพสิทธิ์ของเราก็จงไปใช้สิทธิ์ของเราสิครับ อย่าเอาแต่โวยวายแล้วหอบจักรใส่ท้ายรถยนต์ไปปั่นในสนามเพราะมันไม่ทำให้สังคมเข้าใจและปรับตัวมาพวกเราหรอก "พวกเราต้องปรับตัวเราให้สังคมเห็นก่อน แล้วสังคมจึงจะปรับตัวตามพวกเรา"


EZ noneny AD