วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

คืนความสุขให้ชีวิต ด้วยการปั่น

จักรยานอาจจะเป็นพาหนะมีล้อที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาก่อนพาหนะติดเครื่องยนต์อื่นๆทั้งหมดบนโลก และในวัยเด็กของหลายๆคนคงจะคุ้นเคยกับจักรยาน เพราะมันเป็นพาหนะชนิดแรกที่ทำให้โลกในวัยเด็กของเรากว้างขึ้น ไกลขึ้น และสัมผัสได้จริงมากขึ้น

ผมเองในวัยเด็กก็ปั่นจักรยานในชีวิตประจำวัน ทั้งปั่นไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ปั่นไปซื้อของให้แม่ ปั่นไปโรงเรียน จำได้ว่าจักรยานคันแรกที่คุณพ่อกับคุณแม่ซื้อให้นั้นเป็นจักรยานคันใหญ่สีม่วงไม่มีตะกร้าหน้าใส่ของ แต่มีตระแกรงหลังสำหรับคนนั่งซ้อนและมีไดนาโมสำหรับปั่นไฟ ซึ่งหลอดไฟจะเป็นวงรีอยู่ด้านหน้ารถ เรียกว่าเท่ระเบิดเลยล่ะ ผมปั่นจักรยานคันแรกตั้งแต่เรียนประถม จนเข้าชั้นมัธยม โดยอาศัยมันปั่นไปโรงเรียนในตอนเช้าและปั่นเที่ยวกับเพื่อนๆในตอนเย็น บางครั้งก็รวมกลุ่มกันไปทำตัวเฮี้ยวซ่าแบบเด็กๆโดยไปกดกริ่งบ้านคนแล้วรีบปั่นหนีออกมาก่อนเจ้าของบ้านจะมาเปิดประตู และบางครั้งการปั่นจักรยานก็กลายเป็นการผจญภัยที่แลกมาด้วยความเสี่ยงของน่องเพราะโดนหมาเจ้าถิ่นประจำซอยไล่เห่าไล่กัด พอหนีมาได้ก็มานั่งโม้กันสนุกสนาน นอกจากนั้นพอโตขึ้นมาเรียนชั้นมัธยมปลายจักรยานคันเก่งก็เริ่มรับอีกบทบาทหน้าที่คือ เป็นพาหนะในการพาผมไปจีบสาว(ฮา)

ถึงแม้นจักรยานกับผมมีความผูกพันกันมาตลอดเหมือนมันคือเพื่อนเก่าวัยเด็กที่คุ้นเคย แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เพื่อนเก่าของผมเริ่มโรยรา สนิมเริ่มขึ้น โซ่ที่เคยขึงตึงปั่นได้ไหลลื่นก็ส่งเสียงร้องเอี้ยดอ๊าดทุกครั้งที่โดนฝ่าเท้าของผมกระทืบกดลงไปการเที่ยวเล่นด้วยกันไม่สนุกเสียแล้ว สุดท้ายเพื่อนเก่าผู้อ่อนแรงก็ต้องแอบไปซุกตัวอยู่เงียบๆเพื่อหลีกทางให้กับเพื่อนคนใหม่ที่แข็งแรงกว่าและพร้อมจะพาผมไปตะลุยโลก เพื่อนใหม่ที่ไม่เงียบสงบเสงี่ยมเช่นเพื่อนเก่าวัยเด็ก แต่จะส่งเสียงคำรามก้องพร้อมกับมีค่าอาหารการกินที่ต้องจ่ายหากจะพาเจ้าเพื่อนใหม่คนนี้ออกไปเที่ยวด้วยกัน ผมกับเพื่อนใหม่สองล้อที่เรียกว่าจักรยานยนต์กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ตะลุยเที่ยว ไปในสถานที่ต่างๆด้วยกัน

จนกระทั่งวันหนึ่งผมนึกถึงภาพของเพื่อนเก่าที่เป็นซากนอนตายสงบนิ่งอยู่ข้างบ้านอย่างเดียวดายจนวันสุดท้ายที่ผมเอามันให้กับรถเก็บขยะถือเป็นการอำลากันอย่างถาวรกับเพื่อนวัยเด็ก มาวันนี้ภาพนั้นมันย้อนกลับมาเพราะเพื่อนใหม่ของผมเริ่มเรียกร้องค่าตัวที่สูงขึ้นทุกๆวัน มันทำให้ผมต้องทำงานเพื่อสนองเพื่อนสองล้อชนิดนี้อย่างหนักเพื่อให้เขากินอิ่มทุกครั้งที่จะไปทำงานหรือไปเที่ยว ค่าอาหารที่เรียกว่าน้ำมันจากลิตรละ10กว่าบาท ขยับมาจนเกือบ50บาท/ลิตร ผมต้องยอมจ่ายเพื่อเพื่อนของผมได้อิ่มและมีพลังแต่มันก็ต้องแลกด้วยสุขภาพของผมเองที่เสพติดความเร็วแรงและสบาย ผมจึงถามตัวเองว่า"มันคุ้มหรือไม่ ทำไมผมต้องเร่งรีบทำลายสุขภาพตัวเองขนาดนั้น" 

หลังจากวันนั้นผมจึงกลับไปหาความคุ้นเคยเดิมๆ กลับมาคบเพื่อนเดิมๆที่อาจจะเหนื่อยบ้างหากเราจะพาเพื่อนคันนี้ไปทำงานหรือไปเที่ยวด้วยกัน แต่มันก็มีความสุข "เพราะเวลาที่เราไปกับเพื่อนคันนี้ โลกของเรามันช้าลง เรามีเวลาที่จะมองและสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัวเรามากขึ้น เรามีโอกาสได้ชื่นชมและยิ้มทักทายกับคนที่ผ่านไปมา" ขอบคุณเพื่อนเก่าวัยเด็กที่ไม่เคยทำให้ผมยังมีความทรงจำดีๆเสมอ

หลายคนอาจจะเคยมีเพื่อนร่วมชีวิตแบบนี้เหมือนผมเมื่อวัยเด็ก วันนี้ลองถามตัวเราเองดูสิครับ เราลืมเพื่อนซี้วัยเด็กคนนี้ไปหรือยัง และถ้าเรายังไม่ลืมเขา ถ้าอย่างนั้นเรากับเขากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมดีกว่าไหม



EZ noneny AD