วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2557

ปั่นเมือง เหนื่อยจริง

วันนี้ผมจะของพูดถึงความรู้สึกที่ผมได้ปั่นจักรยานมาระยะหนึ่ง หลังจากที่ซื้อจักรยานมาเพื่อใช้เป็นพาหนะในการเดินทางแทนรถติดเครื่องยนต์ทั้งหลาย

หลังจากที่ได้จักรยานมาในวันแรกผมเริ่มปั่นเบาๆเพื่อวอร์มร่างกายเสียก่อนเพราะร่างกายผมเว้นระยะห่างไปนานกับการปั่นจักรยานรวมถึงการออกกำลังกายอื่นๆด้วย ทั้งนี้ก็เพราะผมมีเป้าหมายเอาไว้ว่าจะปั่นจักรยานไปทำงาน ดังนั้นเพื่อจะให้ไปถึงเป้าหมายที่กำหนดในการซื้อจักรยานมาใช้งานมันจึงต้องเริ่มเตรียมความพร้อมของร่างกายเสียก่อน

ในช่วงอาทิตย์แรกๆที่ได้จักรยานมาผมก็ซ้อมปั่นแถวๆบ้านพักก่อนเพื่อให้เกิดความคุ้นเคย ก่อนที่จะเริ่มปั่นเอาระยะทางเพิ่มมากขึ้นโดยการปั่นเพิ่มระยะทางของผมนั้นผมจะไม่เน้นการปั่นที่เร็วแบบขาแรงทั้งหลายแต่ผมเน้นปั่นชิลล์ๆเพื่อเรียกกำลังเพราะผมปั่นเดินทางในชีวิตประจำวันดังนั้นผมจึงมุ่งไปที่การปั่นแบบต่อเนื่อง อย่าลืมว่าเป้าหมายของผมคือปั่นจักรยานไปทำงานและใช้เป็นพาหนะเดินทางในชีวิตประจำวันในเมืองบนนถนนที่ไม่ใช่สนามแข่งจักรยานดังนั้นไม่จำเป็นต้องเร็วแรงเพราะถ้าผมอยากเร็วแรงด้วรถสองล้อแบบจักรยานผมมีมอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะสองล้อเหมือนกันและมันสามารถพาผมทะลุความเร็วเกือบ300กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้อยู่แล้วไม่ต้องมาโชว์พาว์ปั่นจักรยานลิ้นห้อยแบบนี้ ดังนั้นอย่ามาพูดเรื่องความเร็วของจักรยานเพราะผมไม่สน(ฮา)


หลังจากที่ปั่นสร้างกำลังและความคุ้นเคยกับจักรยานอยู่หนึ่งอาทิตย์ผมเริ่มปั่นไกลขึ้นระยะทางยาวมากขึ้น และใช้เวลาน้อยลงซึ่งอาจจะมาจากการที่ผมจับจังหวะของกำลังขาของตัวเองได้ดีขึ้นว่าควรเร่งควรผ่อนเมื่อไหร่จังหวะในการเปลี่ยนเกียร์ได้ดีขึ้น โดยผมจะปั่นจักรยานทุกเช้า-เย็นโดยปั่นแบบต่อเนื่องไม่หยุดพักเป็นเวลา 2ชั่วโมง ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ผมคำนวณไว้ว่าถ้าผมปั่นจากที่พักแถวๆรามอินทราไปยังที่ทำงานแถวประชาชื่นระยะทางราวๆ20กิโลเมตรไปกลับก็ 40กิโลเมตร ถ้าไม่แวะลั่นล้าที่ไหนก็จะน่าจะใช้เวลาไม่เกินกว่านี้

ที่ผ่านมาผมซ้อมปั่นในรอบสนามในหมู่บ้านในตรอกซอกซอยตามพื้นที่ๆเขามีเลนจักรยานให้ปั่นผมรู้สึกว่าการปั่นจักรยานสองชั่วโมงนี่มันไม่รู้สึกเหนื่อยเลยอาจจะเป็นเพราะผมเป็นนักกีฬามาก่อนเลยรู้จังหวะการหายใจว่าต้องทำอย่างไรมันทำให้ผมมั่นใจมากว่าผมสามารถปั่นไปทำงานได้สบายๆ ดังนั้นอาทิตย์ต่อมาผมจึงเริ่มปฎิบัติภาระกิจปั่นจักรยานไปทำงานครั้งแรก ซึ่งเรื่องมันก็อยู่ตรงนี้ล่ะครับ เพราะเมื่อผมปั่นจักรยานออกถนนใหญ่ฝ่าการจารจรที่แสนยุ่งเหยิงของกรุงเทพ ระยะทางเพียง20กิโลเมตร มันกลับเอาผมเหนื่อยจนลิ้นห้อยมากกว่าการปั่นจักรยานซ้อมเล่นตามพื้นที่โล่งๆ20กิโลเมตรเสียอีก มันเป็นเพราะอะไร?

ผมสังเกตว่าการปั่นจักรยานในพื้นที่โล่งๆที่จัดไว้สำหรับปั่นจักรยานหรือตามพื้นที่กินลมชมวิวต่างๆนั้นมันไม่ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยได้เท่ากับการปั่นอยู่บนถนนในเมืองอย่างกรุงเทพ นั่นอาจจะเป็นเพราะสภาพของอากาศที่ค่อนข้างมีมลพิษสูงทำให้เรารู้สึกเหนื่อยง่าย หรืออาจจะเป็นเพราะการตื่นตัวของประสาทต่างๆของร่างกายที่ถูกกระตุ้นด้วยอะดีนารีนจากการที่เราต้องระวังรถใหญ่ต่างๆที่พุ่งมาเฉียดเราไปราวกับว่าเราไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้นซึ่งจากสิ่งต่างๆเหล่านี้มันอาจจะทำให้เราเครียดมากขึ้นและเหนื่อยมากขึ้น อีกทั้งถ้าการจารจรติดขัดเราก็ต้องปั่นๆหยุดๆ บางครั้งก็ต้องยกรถขึ้นไปปั่นบนฟุตบาท แต่บางครั้งก็ต้องยกรถลงจากฟุตบาทเพราะมีคนจับจองพื้นที่บนฟุตบาททำธุรกิจเต็มไปหมด(ฮา) แถมผมยังต้องยกจักรยานข้ามสะพานลอยเพราะผมไม่ปั่นจักรยานข้ามฝากถนนหากเลือกได้ผมจะยกจักรยานข้ามสะพานลอยเพราะอย่างไรมันก็ปลอดภัยกว่า สำหรับบางคนอาจจะบอกว่ามันหนักไม่มีทางลาดให้เข็นจักรยานมันลำบากแต่ผมมองว่าจักรยานที่ผมใช้อยู่แม้นจะเป็นจักรยานราคาถูกและหนัก14กิโลกรัม แต่ผมคิดว่ามันไม่ได้หนักอะไรเลย ยกมือเดียวสบายๆ(สำหรับผม) ยิ่งจักรยานที่เขาบอกว่าดีว่าแพงมันก็เบากว่าจักรยานผมซะอีก ยกขึ้นสะพานลอยข้ามฝั่งได้สบายๆก็ไม่รู้จะบ่นกันทำไม?

สรุปที่ผมผัมผัสได้ตอนนี้คือเมื่อปั่นครั้งที่ 2-3-4-5-6....มันก็เริ่มรู้สึกว่าการปั่นจักรยานในเมืองกรุงเทพไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยหากคุณคิดจะทำเพียงแต่คุณอาจจะรู้สึกเหนื่อยมากกว่าการปั่นแบบกินลมชมวิวแบบชิลล์ๆในระยะทางหรือระยะเวลาที่เท่าๆกัน อีกอย่างการปั่นในเมืองไปทำงานบนถนนตลอดช่วงที่ผมเริ่มทดลองปั่นไปทำงานนั้น ผมยังไม่เจอเพื่อนๆนักปั่นคนอื่นเลย ทั้งถนนจึงมีเพียงผมคนเดียวหัวโด่มันยิ่งทำให้รู้สึกว่าผมโดดเดี่ยวเพราะเราไม่มีเพื่อนไว้ให้เหลียวมองหรือส่งสัญญาณให้กำลังใจกัน ผมคิดว่าผมคงจะรู้สึกเหนื่อยน้อยลงและเครียดน้อยลงถ้ามีเพื่อนมาร่วมปั่นจริงจังบนถนนมากขึ้น


EZ noneny AD