แต่หยุดก่อนครับ อย่างเพิ่งฟินเพราะปั่นจักรยานที่มีสายลมมันอาจจะไม่ได้ทำให้เราชิลเสมอไป เอาล่ะครับลองมาฟังประสบการณ์การปั่นรับลมแล้วมันไม่ชิลล์กันเพราะตอนแรกๆผมก็เหมือนหลายๆท่านที่มีจินตนาการว่าการปั่นจักรยานเรื่อยๆในบรรยากาศชิลล์ๆขณะทีมีสายลมเอื่อยๆท้องฟ้าดูฉ่ำเย็นสบาย แต่ความรู้สึกแบบนั้นมันเปลี่ยนไปจากฟินชิลล์ๆกลายเป็นหอบลิ้นห้อยแทน(ฮา) เพราะตอนที่ขับรถยนต์หรือแม้นแต่ขี่มอเตอร์ไซค์ผมจะไม่เคยรู้สึกนะว่ากระแสลมมันต้านเรามากแค่ไหน แต่พอมาเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาปั่นจักรยานไปทำงานตามปกติ แต่ช่วงเช้าขณะที่จะออกจากบ้านมีสายฝนโปรยปรายเบาๆผมก็รอจนกระทั้งฝนเริ่มหยุดจึงปั่นจักรยานออกจากบ้านบอกได้เลยว่าบรรยากาศช่วงนั้นอากาศมันเย็นสบายๆไม่มีแสงแดดมาเผาร่างกาย สายลมเอื่อยๆทำให้รู้สึกอารมณ์ดีแม้นบนท้องถนนรถจะวิ่งกันขวั่กไขว่ แต่ความสุขสดชื่นมันอยู่ไม่นานเพราะสักพักขณะที่ผมกำลังรู้สึกชิลล์กับบรรยากาศเย็นสบายอยู่ๆก็มีกระแสลมแรงพัดมาพร้อมหอบเอาฝุ่นฟุ้งตลบมาด้วยงานนี้ถ้าไม่ใส่แว่นกันลมกันฝุ่นรับรองว่ามีแสบตาเคืองตากันแน่นอนแรงลมเริ่มแรงไม่ใช่แค่ดันเฆมฝนสีดำให้ก่อตัวหนาแน่นขึ้น แต่ทันทีที่กระแสลมวูบเข้ามากำลังรอบขาของผมตกวูบไปด้วย แรงขาที่ปั่นลงไปมันเหมือนมีอะไรมาต้านไว้ทำให้รถหนักขึ้น(ปกติรถผมมันก็หนักอยู่แล้ว...ฮา) มันทำให้ผมต้องออกแรงปั่นมากขึ้นต้องเปลี่ยนเกียร์เพื่อเพิ่มกำลังที่จะฉุดรถให้ฝ่ากระแสลมไปประกอบกับจังหวะที่กำลังจะปั่นขึ้นเนินสะพานสูงและไหนจะต้องเผชิญกับรถเมล์คันใหญ่พี่ๆรถตู้ที่รีบบึ่งเข้าป้ายเพื่อรับผู้โดยสารที่กำลังจะหนีฝน วินาทีนั้นรถทุกๆคันที่วิ่งผ่านจักรยานผมไม่ได้ผ่านไปเปล่าๆแต่มีของแถมเป็นกระแสลมดูดที่ทำให้รถจักรยานของผมมีสภาพเหมือนตกเข้าไปในหลุมดำเพราะมันเหมือนเกิดช่วงว่างของกระแสลมขณะที่รถใหญ่วิ่งผ่านทำให้รถจักรยานผมแกว่งเอียงมากกว่าปกติโดยระดับการแกว่งขึ้นกับขนาดและความเร็วของรถที่วิ่งผ่านไป(ฮา) แม้นมันจะเป็นช่วงเวลาแค่ไม่กี่นาทีกับการต้องผจญภัยกับสถาณะการณ์จากกระแสลมแต่มันก็ทำให้ผมเรียนรู้ว่าอย่าคิดว่าจะปล่อยใจให้ชิลล์กับสภาพอากาศโดยเฉพาะกับขณะที่คุณกำลังปั่นจักรยานอยู่บนถนนสายหลักๆที่มีรถวิ่งไปมาอย่างรวดเร็วของกรุงเทพมหานคร เมืองที่รถจักรยานยังเป็นแค่ตัวประกอบบนท้องถนน เพราะมันอาจจะไม่ชิลล์อย่างที่คุณคิด
วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557
เมื่อสายลมเย็นๆไม่ทำให้เราชิลล์อย่างที่คิด
ช่วงนี้ผมใช้จักรานเป็นพาหนะเดินทางในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่ปั่นไปชอปปิ้งซื้อโอเลี้ยงกาแฟเย็นที่ปากซอย แต่มันเป็นการปั่นออกไปบนถนนปั่นจากที่พักไปทำงานระยะทางไปกลับ40กว่ากิโลเมตร ปั่นวันแรกๆมันเหนื่อยแต่มันก็รู้สึกมีความสุขที่ได้ทำเพราะที่จริงผมอยากทำมานานหลายปีและยอมรับว่าที่ผ่านมาผมป๊อด (ฮา) และเพราะผมป๊อดผมก็เลยมักจะมีข้ออ้างล้านแปดเพื่อที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกถูกที่ไม่ออกไปปั่นจักรยานบนถนนตามความคิดของตัวเอง แต่พอตัดสินใจทำและเลิกข้ออ้างทุกข้อของตัวเองโดยการซื้อจักรยานมาแล้วก็ลงมือปั่นอย่างจริงจัง และในที่สุดผมก็ก้าวข้ามข้ออ้างต่างๆมาได้ สำหรับการปั่นจักรยานนั้นผมคิดว่าหลายท่านที่ชอบการปั่นอาจจะชอบเวลาที่ท้องฟ้ามันไม่มีแสงแดดแรงๆมาคอยทำลายเซลผิวหนัง ไม่ต้องกังวลว่าผิวจะดำหน้าจะเป็นฝ้า(ฮา) และรู้สึกฟินกับการปั่นเวลาที่มีสายลมเย็นๆมาปะทะสิ่งต่างๆรอบตัวดูช้าลงฟังแล้วมันฟินใช่มั้ยล่ะครับ...ฮื่ม
แต่หยุดก่อนครับ อย่างเพิ่งฟินเพราะปั่นจักรยานที่มีสายลมมันอาจจะไม่ได้ทำให้เราชิลเสมอไป เอาล่ะครับลองมาฟังประสบการณ์การปั่นรับลมแล้วมันไม่ชิลล์กันเพราะตอนแรกๆผมก็เหมือนหลายๆท่านที่มีจินตนาการว่าการปั่นจักรยานเรื่อยๆในบรรยากาศชิลล์ๆขณะทีมีสายลมเอื่อยๆท้องฟ้าดูฉ่ำเย็นสบาย แต่ความรู้สึกแบบนั้นมันเปลี่ยนไปจากฟินชิลล์ๆกลายเป็นหอบลิ้นห้อยแทน(ฮา) เพราะตอนที่ขับรถยนต์หรือแม้นแต่ขี่มอเตอร์ไซค์ผมจะไม่เคยรู้สึกนะว่ากระแสลมมันต้านเรามากแค่ไหน แต่พอมาเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาปั่นจักรยานไปทำงานตามปกติ แต่ช่วงเช้าขณะที่จะออกจากบ้านมีสายฝนโปรยปรายเบาๆผมก็รอจนกระทั้งฝนเริ่มหยุดจึงปั่นจักรยานออกจากบ้านบอกได้เลยว่าบรรยากาศช่วงนั้นอากาศมันเย็นสบายๆไม่มีแสงแดดมาเผาร่างกาย สายลมเอื่อยๆทำให้รู้สึกอารมณ์ดีแม้นบนท้องถนนรถจะวิ่งกันขวั่กไขว่ แต่ความสุขสดชื่นมันอยู่ไม่นานเพราะสักพักขณะที่ผมกำลังรู้สึกชิลล์กับบรรยากาศเย็นสบายอยู่ๆก็มีกระแสลมแรงพัดมาพร้อมหอบเอาฝุ่นฟุ้งตลบมาด้วยงานนี้ถ้าไม่ใส่แว่นกันลมกันฝุ่นรับรองว่ามีแสบตาเคืองตากันแน่นอนแรงลมเริ่มแรงไม่ใช่แค่ดันเฆมฝนสีดำให้ก่อตัวหนาแน่นขึ้น แต่ทันทีที่กระแสลมวูบเข้ามากำลังรอบขาของผมตกวูบไปด้วย แรงขาที่ปั่นลงไปมันเหมือนมีอะไรมาต้านไว้ทำให้รถหนักขึ้น(ปกติรถผมมันก็หนักอยู่แล้ว...ฮา) มันทำให้ผมต้องออกแรงปั่นมากขึ้นต้องเปลี่ยนเกียร์เพื่อเพิ่มกำลังที่จะฉุดรถให้ฝ่ากระแสลมไปประกอบกับจังหวะที่กำลังจะปั่นขึ้นเนินสะพานสูงและไหนจะต้องเผชิญกับรถเมล์คันใหญ่พี่ๆรถตู้ที่รีบบึ่งเข้าป้ายเพื่อรับผู้โดยสารที่กำลังจะหนีฝน วินาทีนั้นรถทุกๆคันที่วิ่งผ่านจักรยานผมไม่ได้ผ่านไปเปล่าๆแต่มีของแถมเป็นกระแสลมดูดที่ทำให้รถจักรยานของผมมีสภาพเหมือนตกเข้าไปในหลุมดำเพราะมันเหมือนเกิดช่วงว่างของกระแสลมขณะที่รถใหญ่วิ่งผ่านทำให้รถจักรยานผมแกว่งเอียงมากกว่าปกติโดยระดับการแกว่งขึ้นกับขนาดและความเร็วของรถที่วิ่งผ่านไป(ฮา) แม้นมันจะเป็นช่วงเวลาแค่ไม่กี่นาทีกับการต้องผจญภัยกับสถาณะการณ์จากกระแสลมแต่มันก็ทำให้ผมเรียนรู้ว่าอย่าคิดว่าจะปล่อยใจให้ชิลล์กับสภาพอากาศโดยเฉพาะกับขณะที่คุณกำลังปั่นจักรยานอยู่บนถนนสายหลักๆที่มีรถวิ่งไปมาอย่างรวดเร็วของกรุงเทพมหานคร เมืองที่รถจักรยานยังเป็นแค่ตัวประกอบบนท้องถนน เพราะมันอาจจะไม่ชิลล์อย่างที่คุณคิด
แต่หยุดก่อนครับ อย่างเพิ่งฟินเพราะปั่นจักรยานที่มีสายลมมันอาจจะไม่ได้ทำให้เราชิลเสมอไป เอาล่ะครับลองมาฟังประสบการณ์การปั่นรับลมแล้วมันไม่ชิลล์กันเพราะตอนแรกๆผมก็เหมือนหลายๆท่านที่มีจินตนาการว่าการปั่นจักรยานเรื่อยๆในบรรยากาศชิลล์ๆขณะทีมีสายลมเอื่อยๆท้องฟ้าดูฉ่ำเย็นสบาย แต่ความรู้สึกแบบนั้นมันเปลี่ยนไปจากฟินชิลล์ๆกลายเป็นหอบลิ้นห้อยแทน(ฮา) เพราะตอนที่ขับรถยนต์หรือแม้นแต่ขี่มอเตอร์ไซค์ผมจะไม่เคยรู้สึกนะว่ากระแสลมมันต้านเรามากแค่ไหน แต่พอมาเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาปั่นจักรยานไปทำงานตามปกติ แต่ช่วงเช้าขณะที่จะออกจากบ้านมีสายฝนโปรยปรายเบาๆผมก็รอจนกระทั้งฝนเริ่มหยุดจึงปั่นจักรยานออกจากบ้านบอกได้เลยว่าบรรยากาศช่วงนั้นอากาศมันเย็นสบายๆไม่มีแสงแดดมาเผาร่างกาย สายลมเอื่อยๆทำให้รู้สึกอารมณ์ดีแม้นบนท้องถนนรถจะวิ่งกันขวั่กไขว่ แต่ความสุขสดชื่นมันอยู่ไม่นานเพราะสักพักขณะที่ผมกำลังรู้สึกชิลล์กับบรรยากาศเย็นสบายอยู่ๆก็มีกระแสลมแรงพัดมาพร้อมหอบเอาฝุ่นฟุ้งตลบมาด้วยงานนี้ถ้าไม่ใส่แว่นกันลมกันฝุ่นรับรองว่ามีแสบตาเคืองตากันแน่นอนแรงลมเริ่มแรงไม่ใช่แค่ดันเฆมฝนสีดำให้ก่อตัวหนาแน่นขึ้น แต่ทันทีที่กระแสลมวูบเข้ามากำลังรอบขาของผมตกวูบไปด้วย แรงขาที่ปั่นลงไปมันเหมือนมีอะไรมาต้านไว้ทำให้รถหนักขึ้น(ปกติรถผมมันก็หนักอยู่แล้ว...ฮา) มันทำให้ผมต้องออกแรงปั่นมากขึ้นต้องเปลี่ยนเกียร์เพื่อเพิ่มกำลังที่จะฉุดรถให้ฝ่ากระแสลมไปประกอบกับจังหวะที่กำลังจะปั่นขึ้นเนินสะพานสูงและไหนจะต้องเผชิญกับรถเมล์คันใหญ่พี่ๆรถตู้ที่รีบบึ่งเข้าป้ายเพื่อรับผู้โดยสารที่กำลังจะหนีฝน วินาทีนั้นรถทุกๆคันที่วิ่งผ่านจักรยานผมไม่ได้ผ่านไปเปล่าๆแต่มีของแถมเป็นกระแสลมดูดที่ทำให้รถจักรยานของผมมีสภาพเหมือนตกเข้าไปในหลุมดำเพราะมันเหมือนเกิดช่วงว่างของกระแสลมขณะที่รถใหญ่วิ่งผ่านทำให้รถจักรยานผมแกว่งเอียงมากกว่าปกติโดยระดับการแกว่งขึ้นกับขนาดและความเร็วของรถที่วิ่งผ่านไป(ฮา) แม้นมันจะเป็นช่วงเวลาแค่ไม่กี่นาทีกับการต้องผจญภัยกับสถาณะการณ์จากกระแสลมแต่มันก็ทำให้ผมเรียนรู้ว่าอย่าคิดว่าจะปล่อยใจให้ชิลล์กับสภาพอากาศโดยเฉพาะกับขณะที่คุณกำลังปั่นจักรยานอยู่บนถนนสายหลักๆที่มีรถวิ่งไปมาอย่างรวดเร็วของกรุงเทพมหานคร เมืองที่รถจักรยานยังเป็นแค่ตัวประกอบบนท้องถนน เพราะมันอาจจะไม่ชิลล์อย่างที่คุณคิด