วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

9 เหตุผลปั่นหรือไม่ปั่นจักรยานในเมือง

วันก่อนผมได้คุยกับผู้ปกครองเด็กนักเรียนท่านหนึ่งที่ตอนนี้เริ่มหันมาสนใจการปั่นจักรยาน โดยเรื่องที่พูดคุยกันก็เป็นเรื่องทั่วๆไปเกี่ยวกับจักรยานทั้งประเภทของจักรยาน ราคา อุปกรณ์ตกแต่ง บราๆๆๆมาจนถึงเรื่องการเตรียมตัวปั่นจักรยานไม่ว่าจะปั่นไปทำงานในชีวิตประจำวัน หรือปั่นไปเที่ยวออกทริป ซึ่งประเด็นมันก็อยู่ตรงที่เราจะต้องเตรียมตัวอย่างไร? เพราะการปั่นทั้งสองแบบนั้นมันไม่เหมือนกัน การปั่นไปทำงานในชีวิตประจำวันมันก็เรื่องหนึ่งการปั่นไปเที่ยวออกทริปมันก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะการเดินทางด้วยจักรยานทั้งสองวิธีนั้นมันต่างกันในความรู้สึกของผมนะครับ

เรามาเริ่มกันที่การปั่นจักรยานไปทำงานกันก่อน การปั่นจักรยานไปทำงานหรือการใช้จักรยานเป็นพาหนะเดินทางในชีวิตประจำวัน อันนี้มันเป็นเป้าหมายหลักของผมเลยครับในการที่มาปั่นจักรยาน บางครั้งผมชอบเขียนอะไรสนุกๆเอาฮาแบบว่า ปั่นลดพุง ลดความอ้วน ซึ่งมันก็มีส่วนอยู่บ้างแต่จริงๆแล้วเป้าหมายหลักๆของผมในการปั่นจักรยานนั่นก็คือเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายจากพลังงานฟอลซิสอย่างน้ำมัน เพราะทุกวันนี้ประชาชนอย่างเราๆซื้อน้ำมันใช้ในราคาที่แพงฉิบหาย ขอโทษครับที่ไม่สุภาพเดี๋ยวลงโทษกระโดดเตะปากตัวเอง (ฮา) มาลองดูว่าผมลดค่าใช้จ่ายได้เท่าไหร่กันก่อนครับ เพื่อท่านที่เข้ามาอ่านบทความนี้จะได้กลับไปลองคำนวณดู ผมปั่นจักรยานจากที่บ้านไปที่ทำงานระยะทาง 18 กิโเมตร หากใช้รถยนต์ผมต้องใช้เวลาราวๆหนึ่งชั่วโมงกว่าๆถ้ารถติด ถ้าใช้มอเตอร์ไซด์ก็จะใช้เวลาราวๆ30-45นาที ขึ้นอยู่กับสภาพการจารจรโดยการเดินทางด้วยพาหนะทั้งสองชนิดนี้ผมต้องเผาผลาญพลังงานน้ำมันไม่ใช่น้อยคิดโดยเป็นค่าใช้จ่ายทั้งเดือนก็เป็นพันบาทต่อเดือน แต่เมื่อผมหันมาใช้จักรยานค่าใช้จ่ายในการเดินทางของผมเท่ากับศูนย์เพราะผมไม่ต้องเติมน้ำมันรถจักรยานและเวลาที่หลายคนกังวลว่ามันจะใช้เท่าไหร่หากต้องเดินทางด้วยพาหนะที่ช้าที่สุดในโลกแบบนี้ ผมขออธิบายให้ฟังครับครั้งแรกที่ผมเริ่มปั่นจักรยานไปทำงาน ระยะทาง 18กิโลเมตร ในเมืองฝ่าการจารจรช่วงเช้า ผมใช้เวลาไปราวๆ1ชั่วโมง20นาที โดยหยุดหอบเป็นระยะ(ฮา) แต่เมื่อร่างกายเริ่มปรับตัวได้กับการเดินทางแบบนี้มันทำให้ผมใช้เวลาน้อยลงครับแถมไม่ต้องหยุดพักเป็นหมาหอบแดดเหมือนวันแรกๆและล่าสุดระยะทาง18กิโลเมตรในสภาพการจารจรของกรุงเทพมหานครเร็วที่สุดโดยการเดินทางด้วยรถจักรยานผมใช้เวลาเพียง 47นาทีเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าวันแรกๆเยอะเลย

แล้วเราจะเริ่มปั่นในเมืองกันอย่างไรท่านผู้ปกครองเด็กนักเรียนก็สอบถามผมเพราะเขาไม่เคยปั่นจักรยานในเมืองอาจจะมีบ้างก็นิดๆหน่อยๆแบบปั่นออกมาที่ถนนเพื่อไปซื้อของในปั๊มน้ำมัน หรือปั่นข้ามไปหมู่บ้านใกล้ๆ
แต่ยังไม่เคยปั่นออกถนนจริงๆจังๆเพราะเขากังวลว่าหากปั่นออกไปอาจจะเกิดอุบัติเหตุ จะโดนคนด่าเพราะไปเก่ะก่ะรถบนถนน ถ้ารถติดจะทำอย่างไร เลนจักรยานก็ไม่มีแล้วถ้าจะข้ามแยกข้ามถนนไปอีกฝั่งจะทำยังไง บราๆๆๆ มากมายกับข้อวิตกกังวลผมจึงให้เหตุผลไปดังนี้

1. เมื่อผมปั่นจักรยานบนถนนในเมืองผมจะปั่นชิดซ้ายสุด ไม่ทำซ่าทำเจ๋งอวดเก่งเป็นขาแรงออกแลนขวาเด็ดขาด เวลาจะแซงก็ต้องมองหลังก่อนว่ามีรถตามหรือไม่ หรือพูดง่ายๆคือเคารพกฎจารจรและรักษามารยาทในการขับขี่ให้มากที่สุดนั่นล่ะครับ

2. เมื่อปั่นผมพยามปั่นตามกำลังไม่ปั่นอัดเร็วๆ แต่จะพยามให้กำลังรอบขาอยู่ในอัตราความเร็วที่คงที่เพื่อให้รถยนต์ที่ตามหลังสามารถคำนวณความเร็วของเราได้ ดังนั้นเมื่อเขาจะแซงก็จะไม่รู้สึกรำคานว่าเราเก่ะก่ะ เคยเจอไหมครับเวลาขับรถพอจะเร่งแซงแล้วเจอนักปั่นบ้าพลังปั่นๆๆๆเร่งเหมือนจะแข่งกับเราพวกปั่นแบบนี้ทำให้รถยนต์ที่ตามเสียจังหวะครับ ดังนั้นใจเขาใจเราไม่อยากโดนด่าหรือโดนชนกระเด็นตายโหงเป็นผีข้างถนนก็อย่าทำครับ

3. จักรยานผมจะติดกระจกมองหลัง แม้นบางคนจะบอกว่ามองไม่ชัดหลอกตา หันไปมองมันเท่กว่าติดกระจกแล้วเก่ะก่ะ  แต่เชื่อเถอะครับผมกระจกมองหลังทำให้คุณสามารถมองได้ว่ามีรถอยู่ข้างหลังคุณหรือไม่โดยคุณไม่ต้องเสียสมาธิหันไปหันมาบ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อคุณปั่นในเมืองที่มีรถวิ่งกันมากมาย สำหรับบางคนที่บอกมุดลำบากอันนี้ผมไม่ทราบนะครับมันคงอยู่ที่ความเคยชินกับทักษะของแต่ละคนแต่สำหรับผมติดกระจกปลายแฮนด์ก็ยังมุดซ้ายขวาเวลารถติดได้ปกติสุขดีครับ และนอกจากกระจกมองหลังแล้วพวกไฟท้ายไฟหน้าก็ควรติดไว้นะครับเพื่อความปลอดภัยโดยเฉพาะในเวลากลางคืน

4. เลนจักรยานไม่มี ปั่นยาก ส่วนนี้ผมได้ยินเยอะที่สุดแต่ผมมองต่างกันผมไม่คิดว่ามันยาก และไม่ได้สนใจว่าต้องมีเลนจักรยานเพราะคนใช้จักรยานบนถนนจริงๆน้อยมากๆๆๆผมยกตัวอย่างแค่เส้นทางผมปั่นไปทำงาน18กิโล ผมยังไม่เคยเจอจักรยานคันอื่นที่ปั่นไปทำงานเลยทั้งถนนมีผมอยู่คันเดียว ดังนั้นหลักของผมคือปั่นไปบนถนนเลนซ้ายสุดหากไม่สะดวกก็ยกขึ้นฟุตบาทถ้าทางฟุตบาทโล่งไม่มีใครมาทำธุรกิจบนฟุตบาทมีทางให้ปั่นจักรยานได้ก็ปั่นแต่ถ้าไม่ได้ฟุตบาทแคบ ฟุตบาทพังมีการก่อสร้าง มีคนมายึดทำธุรกิจก็จูงเดินแค่นั้นก็ไปได้ทั่วกรุงเทพแล้วครับ

5. ถ้าจะข้ามแยกข้ามถนนจะทำอย่างไร สำหรับผมมันก็ไม่เห็นจะยุ่งยากอีกนั่นล่ะครับก็ถ้ามันเป็นสี่แยกไฟแดงผมก็จอดติดไฟแดงแบบชาวบ้านเขา แต่ถ้ามองซ้ายมองขวาแยกนั้นมีทางอื่นที่ผมสามารถจูงรถข้ามได้ผมก็จูงข้ามไปไม่ต้องรอติดไฟแดงนานๆ และอย่างที่บอกครับพยามรักษากฎจารจรไม่ทำผิดก็ไม่เกิดอุบ้ติเหตุ

6. สะพานลอยข้ามแยกไม่มีทางลาดเพื่อจักรยาน ส่วนนี้ก็ได้ยินมาเยอะครับแต่สำหรับผมถ้ามีทางลาดเพื่อใช้จูงจักรยานขึ้นสะพานลอยได้ก็จะดีมากครับแต่ถ้าไม่มีผมก็ไม่เดือดร้อนเพราะที่ผมปั่นไปทำงานผมก็ต้องข้ามสะพานลอย 2-4สะพานเป็นประจำ(อยู่ที่เส้นทางที่ผมเลือกปั่นด้วยครับ) แล้วผมข้ามยังไง ง่ายๆครับก็ยกข้ามไปสิครับ ผมเห็นบางคนชอบบ่นเรื่องข้ามสะพานลอยแต่ก็ชอบอวดว่ารถจักรยานที่ใช้นั้นสุดยอดน้ำหนักโครตเบาบางคนทำท่ายกจักรยานโชว์ด้วยแล้วทำไมแค่สะพานลอยยกข้ามไม่ได้ ก็ยกข้ามสิครับรถผมหนัก14กิโล ผมก็ยกข้ามได้สบายๆแล้วพวกรถจักรยานดีๆน้ำหนักเบาๆบางคันไม่ถึง10กิโลยกไม่ไหวเรอะครับ ส่วนบางคนบอกจักรยานแม่บ้านยกไม่ได้ผมก็ตอบเหมือนเดิมครับยกข้ามได้ครับไม่มีจักรยานคันไหนมันหนักเป็นร้อยกิโลหรอกครับอย่างมากก็20กิโลนิดๆ แต่ถ้ายังยืนยันว่ายกไม่ไหวงั้นก็จูงข้ามถนนตรงทางม้าลายหรือแยกไฟแดงครับแค่นั้นเอง

7. จอดแล้วกลัวรถหายเมืองไทยขโมยมันเยอะ บ๊ะๆๆเจอคำพูดแบบนี้ก็ไม่รู้จะบอกยังไงประเทศไหนมันก็มีขโมยทั้งนั้นครับ โซ่ล็อคจักรยานไม่ได้ผลิตและขายแต่ในประเทศไทยใช่มั้ยครับ นั่นก็หมายความที่ไหนๆมันก็มีขโมยทั้งนั้นดังนั้นอย่ามาดราม่าด่าเฉพาะประเทศบ้านเกิดตัวเองเลยครับและเมื่อเราจะใช้จักรยานก็ต้องหาอุปกรณ์มาถ่วงเวลาโจรเพราะมันไม่มีอุปกรณ์ตัวไหนกันได้100% ส่วนตัวผมก็ใช้โซ่ล็อคโดยพยามล็อคกับวัสดุที่หนักหรือเคลื่อนย้ายไม่ได้เพื่อกันการยกไปทั้งคันและไม่จอดจักรยานทิ้งไว้ในที่ลับตาคนก็ทำได้เท่านี้ล่ะครับ

8. อยากใช้ปั่นไปห้างก็ไม่มีที่จอด นี่ก็อีกดราม่าที่ผมได้ฟังบ่อยๆ ผมอาจจะโชคดีที่ผมชอบขี่รถมอเตอร์ไซด์ดังนั้นเมื่อผมปั่นจักรยานเวลาผมจอดในห้างผมก็ไปจอดที่จอดมอเตอร์ไซด์นั่นล่ะครับ โดยพยามจอดให้ใกล้กับยามไว้ ออกปากให้เขาช่วยดูให้หน่อยแม้นเขาจะไม่ได้ดูก็เหอะและล็อครถให้แน่นหนา อีกอย่างผมมีความคิดว่าโจรที่มาในลานจอดรถมอเตอร์ไซด์น่ะมันมาขโมยมอเตอร์ไซด์ไม่ใช่จักรยานครับ(ฮา) และถ้าห้างทำที่จอดจักรยานแล้วเอาไปไว้ในมุมอับของห้างผมว่ามันจะหายง่ายกว่าผมไปจอดที่ลาดจอดมอเตอร์ไซด์เสียอีก อันนี้ความรู้สึกของผมนะ

9. ปั่นในเมืองไปทำงานไม่มีห้องอาบน้ำ นี่ก็อีกประเด็นที่ผมได้ยินบ่อยๆ ส่วนตัวผมปั่นจักรยานไปทำงานก็ต้องมีเหงื่อออกมาเยอะและที่ทำงานผมก็ไม่มีห้องอาบน้ำด้วย แล้วจะทำอย่างไรล่ะ ก็ไม่เห็นยากเลยครับโดยทุกครั้งที่ผมปั่นจักรยานผมจะพกทิชชู่เปียกหรือที่ผ้าเย็นไว้เช็ดตูดเด็กเล็กนั่นล่ะครับติดตัวไว้พอปั่นไปถึงที่หมายผมก็เอาออกมาเช็ดตัว หรือถ้าเหงื่อมันเยอะผมก็จะใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กๆชุบน้ำในห้องน้ำแล้วก็เช็ดตัว จากนั้นบางครั้งผมก็เปลี่ยนเสื้อตัวใหม่แทนเสื้อที่ใช้ปั่นจักรยานมาก็แค่นี้(เวลาปั่นจักรยานผมใส่เสื้อยืดธรรมดาๆนี่ล่ะครับไม่ใช่เสื้อนักปั่นจัดเต็มอะไร) และที่ผ่านมาผมก็ไม่เห็นมันจะยุ่งยากตรงไหน แต่ถ้าคุณเป็นพวกรักสวยรักงามกลัวไม่หล่อกลัวตัวเหม็นมากนักก็อย่าลำบากเลยครับ จักรยานในชีวิตประจำวันไม่เหมาะกับคุณแน่นอน

จะเห็นว่าทั้งหมดที่ผมเขียนมาถึงการปั่นเดินใช้ชีวิตในเมืองนั้นผมไม่พูดเรื่องเครื่องแต่งกายแบบจัดเต็มแบบแฟชั่นเพราะมันไม่เกี่ยวกับการใช้ในชีวิตประจำวัน อุปกรณ์ที่เกียวกับจักรยานที่ผมใช้เวลาเดินทางในเมืองก็คือ ไฟท้าย ไฟหน้า กระจกมองหลัง ไมล์จักรยานเท่านั้น ส่วนอุปกรณ์เสริมก็ได้แก่กระเป๋าจักรยานโดยผมใช้ก็ไม่ใช่ของดีราคาแพงแค่เก็บของใช้จำเป็นได้ เช่นกระเป๋าเงิน โทรศัพท์ แว่นตา ขนมลูกอมทิชชู่เปียก เสื้อยืด ถุงมือ อุปกรณ์จักรยานเช่นไฟท้ายไฟหน้าและไมล์จักรยานที่เราต้องถอดเก็บเมื่อจอดรถ และบังเอิญว่ากระเป๋าจักรยานที่ผมใช้มันสามารถปรับเป็นกระเป๋าสะพายได้ ส่วนหมวกผมใช้หมวกแก๊บซึ่งมันก็สามารถเอามาห้อยเท่ๆไปกับกระเป๋าได้ไม่มีปัญหาทำให้ผมไม่ต้องแบกเป้หลังอีกใบทั้งหมดนี่เป็นหลักที่ผมใช้ในการปั่นจักรยานในชีวิตประจำวันไม่เห็นต้องคิดมากมาย ไม่ต้องเยอะ ไม่ต้องลีลา ไม่ต้องมากพิธี ไม่ต้องจัดเต็มแค่ชิลล์ๆไปกับมันแค่นั้น




วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

แค่ปั่น ชิลล์ๆเดี๋ยวก็ถึง

ทุกวันผมจะปั่นจักรยานออกจากบ้านเพื่อเดินทางไปที่ต่างๆในกรุงเทพจนเรียกได้ว่าเวลานี้ผมใช้จักรยานเป็นพาหนะหลักในการเดินทางมากกว่ารถมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ซะอีก โดยเฉพาะรถยนต์นี่ไม่ต้องพูดถึงเลยเพราะเมื่อก่อนที่ผมขี่มอเตอร์ไซค์รถยนต์ก็จอดเอาไว้ไม่ได้ใช้ขับจนแบตเสื่อมแล้วเสื่อมอีก มาตอนนี้ยิ่งผมใช้จักรยานแทนรถมอเตอร์ไซค์ยิ่งทำให้รถยนต์กลายเป็นวัตถุเหล็กขนาดหนึ่งตันที่จอดเอาไว้เฉยๆไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยในที่สุดผมก็ตัดสินใจว่าจะขายรถยนต์เอาเงินสดมาเก็บไว้ในกระเป๋าดีกว่า(ฮา)

ถนนในเมืองผมยกข้ามสะพานลอยง่ายกว่า
เส้นทางในเมืองเราเลือกถนนได้
ผมเริ่มปั่นจักรยานจริงจังโดยเน้นไปในการใช้งานเป็นพาหนะเดินทางในชีวิตประจำวันไม่ใช่เรื่องแฟชั่นจักรยานแบบคนอื่นๆที่กำลังฮิตกัน และจากการที่ผมออกปั่นบนนท้องถนนทั้งถนนใหญ่และตรอกซอกซอยทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากเส้นทางที่ผมผ่านไป แม้นจะในเส้นทางเดิมๆที่เคยขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านทุกวันแต่เมื่อมาปั่นจักรยานผมกลับมีมุมมองที่ต่างกันออกไป ผมเห็นอะไรหลายอย่างมากขึ้น เห็นผู้คน เห็นพฤติกรรมต่างๆของมนุษย์ที่อยู่บนถนนและข้างทาง ได้กลิ่น ได้ยินเสียงพูดคุยได้รับรู้สึกถึงบรรยากาศมากกว่าที่ขี่มอเตอร์ไซค์ โลกรอบตัวของผมมันเริ่มช้าลง หมุนไปอย่างช้าๆทำให้ผมมีเวลาที่คิดอะไรให้ละเอียดรอบครอบมากขึ้นเมื่ออยู่บนอานจักรยาน

และเมื่อสักหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาผมปั่นจักรยานผ่านสถานที่ต่างๆถ้ามีจังหวะรถไม่มากเกินไปผมก็จะพยามถ่ายภาพจากมือถือเพื่อบันทึกมุมสวยๆในบรรยากาศที่หากเราขับรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์เราอาจจะผ่านมันไปอย่างรวดเร็วจนไม่มีโอกาสได้สังเกตเลยว่าบรรยากาศสวยงามเหล่านี้เราหาดูได้แม้นจะอยู่ในเมืองกรุง บางจุดอาจจะเป็นเพียงพื้นที่เล็กๆ มุมเล็กๆ แต่หากเราได้หยุดชื่นชมบรรยากาศตรงนั้นมันก็มีความสุขจริงๆนะครับไว้มีโอกาสผมจะพยามถ่ายภาพของบางกอกในมุมสวยๆกับจักรยานมาลงไว้ให้ชมกัน แต่ออกตัวก่อนนะครับผมไม่ใช่ช่างถ่ายภาพมืออาชีพส่วนมากผมใช้กล้องจากมือถือถ่าย อาจจะมีบางครั้งถ้าพกกล้องคอมแพ็คไปก็อาจจะถ่ายด้วยกล้องคอมแพ็ค

มุมสวยๆในบางกอก





มุมสวยๆในบางกอก
สำหรับอีกหลายคนที่ยังไม่เคยปั่นจักรยานในชีวิตประจำวันหรือออกไปปั่นบนถนนจริงจังก็อาจจะมีความวิตกกังวลว่าจะมีปัญหาโน่นนี่นั่นมากมายแต่หากเราลองหยุดสร้างกรอบปัญหาเพื่อกันตัวเองไม่ให้ออกไปปั่นจักรยาน แต่ความจริงแล้วการออกไปปั่นจักรยานบนถนนในเมืองกรุงไม่ได้อยากอย่างที่หลายคนกังวลเลย ที่ผมเขียนแบบนี้คุณจะเชื่อหรือไม่ผมไม่ทราบเพราะมันอยู่ที่ตัวคุณเองแต่สำหรับผมๆลองแล้วทำแล้ว ผมก้าวข้ามข้ออ้างต่างๆไปหมดแล้ว และได้พิสูจน์กับตัวเองแล้วว่าจักรยานพาเราไปได้ทุกทีในเมืองไม่ว่าหนทางนั้นจะเป็นอย่างไรหรือไกลแค่ไหน...แค่ปั่นชิลล์ๆเดี๋ยวก็ถึง


วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

ปั่นเที่ยว ปั่นชิลล์ ปั่นจริงกับชีวิตที่เริ่มใหม่

ผมถามตัวเองก่อนที่จะเริ่มปั่นจักรยานอย่างจริงจังว่า ผมจะปั่นทำไม? และอะไรคือเหตุผลในการปั่นจักรยานของผม ซึ่งแน่นอนครับว่าเหตุผลของแต่ละคนนั้นย่อมไม่เหมือนกัน บางท่านอาจจะปั่นจักรยานเพราะตอนนี้มันกำลังเป็นกระแส บางท่านอาจจะปั่นเพื่อออกกำลังกาย ปั่นเพื่อสุขภาพ บางท่านปั่นเพื่อท่องเที่ยว บางท่านปั่นเพราะเพื่อนชวนปั่น บางคนจำต้องปั่นเพราะแฟนปั่น บางคนปั่นเพราะสาวข้างบ้านที่กำลังปิ๊งเธอปั่น(ฮา)  บางท่านปั่นเพื่อลดโลกร้อน บางท่านปั่นเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของตัวเองซึ่งก็ยังคงมีเหตุผลอื่นๆอีกมากมายอันนี้ก็แล้วแต่บุคล

สำหรับผมปั่นจักรยานเพราะอะไร? และมีอะไรเป็นแนวทางในการปั่น? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับบล็อคนี้ ผมจึงอยากให้เพื่อนๆที่ได้เข้ามาอ่านบล็อคของผม อยากให้ลองกลับไปอ่านบทความแรกดูจะเห็นว่าผมเขียนเรื่องไปเที่ยวถ้ำพระยานครและในบทความแรกนั้นผมบ่นเรื่องสุขภาพเฮงซวยของผมเองที่ไม่ฟิตเปรี๊ยะแค่เดินขึ้นเขาไม่กี่ร้อยเมตรก็หอบเป็นหมาหอบแดด...นั่นล่ะครับสาเหตุที่ทำให้ผมเริ่มมองและตั้งคำถามตัวเอง

เรื่องสุขภาพเป็นสาเหตุหลักๆเลยที่ผมต้องกลับมาทบทวนตัวเองว่าผมเริ่มมีสุขภาพที่แย่แค่ไหนและผมจะแก้ไขอย่างไร ผมบอกตามตรงว่าผมรับไม่ได้กับร่างกายตัวเองที่อ่อนแอนปวกเปียกแบบนั้นเพราะผมเคยเป็นนักกีฬา ผมเคยแข่งขันกีฬาทั้งระดับโรงเรียน ระดับชุมชน ระดับท้องถิ่นและระดับชาติแต่มาวันนี้แค่เดินผมก็เหนื่อยจนจุกทำให้ผมเริ่มสำรวจตัวเองแล้วว่ามันเป็นเพราะอะไร? และการไปเที่ยวถ้ำพระยานครคราวนั้นทำให้ผมเริ่มตระหนัก โดยมันเริ่มเมื่อกลับจากการไปเดินถ้ำแล้วผมก็ไปพักที่รีสอร์ทติดชายหาดแห่งหนึ่งและภายในรีสอร์ทก็มีจักรยานให้ปั่นเล่นผมจึงเอาจักรยานออกไปปั่นรับอากาศริมทะเล ปั่นผ่านทางสวนมะพร้าวและปั่นขึ้นไปเที่ยวบนวัดที่อยู่บนเขาริมหาดใกล้กับที่พัก(จำชื่อวัดไม่ได้แล้ว)

การได้ปั่นจักรยานผ่านสวนมะพร้าวอย่างเชื่องช้า ได้ปั่นขึ้นเนินเขาเพื่อไปเที่ยววัดและตอนที่กำลังปั่นขึ้นเนินเขาไปผมก็บ่นกับตัวเองไปในใจตลอดว่า "มรึงๆๆๆช่างหาเรื่องให้ตัวเองลำบากได้เก่งจริงๆ(ฮา)" แต่เพราะผมไม่ยอมแพ้ด้วยนิสัยแบบนักกีฬาที่อยากเอาชนะตัวเองเหมือนตอนเดินขึ้นไปเที่ยวถ้ำพระยานครนั่นล่ะครับ เหนื่อยใจจะขาดแต่ผมไม่ยอมแพ้ผมสู้เดินต่อจนถึงที่หมาย และครั้งก็เช่นกันเมื่อขึ้นไปถึงวัดตรงจุดนั้นได้เห็นบรรยากาศได้สัมผัสสายลมที่พัดมาแม้นมันจะเป็นสายลมร้อนอ้าวๆแต่ผมกลับรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูกอารมณ์มันต่างกับการขับรถติดแอร์ขึ้นมาอย่างสิ้นเชิงเพราะถ้าเราขับรถติดแอร์ขึ้นมาแบบนี้พอลงรถปุ๊บเจอแดดร้อนๆหลายคนก็จะรีบวิ่งหาที่หลบแดดพร้อมกับบ่นถึงความร้อนอบอ้าวและสายลมที่พัดผ่านมาก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นเพราะมันเป็นลมร้อนๆมันจึงกลายเป็นความทรมารเพราะต้องลงจากรถที่ติดแอร์เย็นฉ่ำมาโดนแดดร้อนๆเผาผิวเลียหน้าให้หมองจนทำให้การไปท่องเที่ยวนั้นกลายเป็นความทุกข์มากกว่าความสุข กลายเป็นความเร่งรีบ (รีบกลับไปนั่งในรถเปิดแอร์เย็นๆ)แทนที่จะได้เที่ยวพักผ่อนและดื่มด่ำกับบรรยากาศสองข้างทางของแหล่งท่องเที่ยว

บรรยากาศมุมมองจากวัดที่ผมขึ้นไปเที่ยว


วัดที่อยู่บนเขาติดหาดที่ผมไปพัก

และนั่นคือจุดเริ่มต้นทำให้ผมรู้สึกชื่นชอบกับบรรยากาศการท่องเที่ยวช้าๆด้วยแรงตัวเองทำให้ผมมีโอกาสดื่มด่ำกับบรรยากาศและมองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวผ่านไปอย่างช้าๆอ้อยอิ่งไม่เร่งรีบ มีความสุขกับการได้เที่ยวได้พักผ่อนและสัมผัสกับบรรยากาศจริงๆของแหล่งท่องเที่ยวที่เราไป บวกกับสุขภาพที่ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีร่างกายที่อ่อนแอลงไปมากทำให้ผมได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า ผมต้องกลับมาออกกำลังกายอีกครั้งหลังจากหยุดเล่นกีฬาไปหลายปี สาเหตุที่ผมหยุดก็เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์จนทำให้ผมต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดใส่เหล็กดามหน้า ดามขา ดามไหล่พักพื้นร่างกายกายทำภาพบำบัดเป็นปีๆ และเมื่อผมตัดสินใจกลับมาออกกำลังกายอีกครั้งผมคิดแล้วว่าผมคงไม่สามารถเล่นกีฬาอย่างที่เคยเล่นมาได้แน่นอนเพราะกีฬาที่ผมเล่นมาก่อนนั้นมันต้องอาศัยพละกำลังมันต้องมีการปะทะผมจึงคิดถึงการปั่นจักรยานและคิดถึงบรรยากาศการได้ปั่นจักรยานของรีสอร์ทเที่ยวบริเวณชายหาดและขึ้นเขาไปไหว้พระ ประกอบกับผมเป็นคนชอบขี่รถมอเตอร์ไซค์และบ่อยครั้งที่ผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆรวมถึงการใช้มอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะเดินทางในชีวิตประจำมานานหลายสิบปีโดนทั้งแดดทั้งควันท่อไอเสียในฐานะมนุษย์เมืองที่ชาชินกับความร้อนบนนถนนดังนั้นการใช้จักรยานจึงเป็นคำตอบสุดท้ายของการเริ่มต้นชีวิตและสุขภาพใหม่ของผมด้วยหลายเหตุผลดังนี้ครับ

1.มันมีสองล้อเหมือนรถมอเตอร์ไซค์(ฮา)
2.ผมยังสามารถใช้จักรยานเป็นพาหนะเดินทางในเมืองได้แทนรถมอเตอร์ไซค์ไม่ใช่แค่มันมีสองล้อเหมือนกันแต่เพราะมันประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางมากกว่าด้วย
3.จักรยานมันก็สามารถใช้ท่องเที่ยวได้เพียงแต่ช้ากว่าเหนื่อยกว่า
4.ข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ "มันช่วยทำให้ผมมีสุขภาพดีขึ้นได้" 

นั่นคือเหตุผลที่ผมหันมาปั่นจักรยานผมไม่มีเป้าหมายเป็นนักปั่นมืออาชีพหรือนักแข่ง สำหรับผมจักรยานเป็นพาหนะที่อำนวยความสะดวกและเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของผม เปลี่ยนวิธีเดินทาง วิธีไปเที่ยวและวิธีสร้างสุขภาพ โดยรวมแล้วผมจึงเป็นแค่คนใช้จักรยานในชีวิตประจำวันเท่านั้น  แล้วเพื่อนๆล่ะครับ จักรยานของเพื่อนๆเป็นอย่างไร?


วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557

เมื่อสายลมเย็นๆไม่ทำให้เราชิลล์อย่างที่คิด

ช่วงนี้ผมใช้จักรานเป็นพาหนะเดินทางในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่ปั่นไปชอปปิ้งซื้อโอเลี้ยงกาแฟเย็นที่ปากซอย แต่มันเป็นการปั่นออกไปบนถนนปั่นจากที่พักไปทำงานระยะทางไปกลับ40กว่ากิโลเมตร ปั่นวันแรกๆมันเหนื่อยแต่มันก็รู้สึกมีความสุขที่ได้ทำเพราะที่จริงผมอยากทำมานานหลายปีและยอมรับว่าที่ผ่านมาผมป๊อด (ฮา) และเพราะผมป๊อดผมก็เลยมักจะมีข้ออ้างล้านแปดเพื่อที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกถูกที่ไม่ออกไปปั่นจักรยานบนถนนตามความคิดของตัวเอง แต่พอตัดสินใจทำและเลิกข้ออ้างทุกข้อของตัวเองโดยการซื้อจักรยานมาแล้วก็ลงมือปั่นอย่างจริงจัง และในที่สุดผมก็ก้าวข้ามข้ออ้างต่างๆมาได้ สำหรับการปั่นจักรยานนั้นผมคิดว่าหลายท่านที่ชอบการปั่นอาจจะชอบเวลาที่ท้องฟ้ามันไม่มีแสงแดดแรงๆมาคอยทำลายเซลผิวหนัง ไม่ต้องกังวลว่าผิวจะดำหน้าจะเป็นฝ้า(ฮา) และรู้สึกฟินกับการปั่นเวลาที่มีสายลมเย็นๆมาปะทะสิ่งต่างๆรอบตัวดูช้าลงฟังแล้วมันฟินใช่มั้ยล่ะครับ...ฮื่ม

แต่หยุดก่อนครับ อย่างเพิ่งฟินเพราะปั่นจักรยานที่มีสายลมมันอาจจะไม่ได้ทำให้เราชิลเสมอไป เอาล่ะครับลองมาฟังประสบการณ์การปั่นรับลมแล้วมันไม่ชิลล์กันเพราะตอนแรกๆผมก็เหมือนหลายๆท่านที่มีจินตนาการว่าการปั่นจักรยานเรื่อยๆในบรรยากาศชิลล์ๆขณะทีมีสายลมเอื่อยๆท้องฟ้าดูฉ่ำเย็นสบาย แต่ความรู้สึกแบบนั้นมันเปลี่ยนไปจากฟินชิลล์ๆกลายเป็นหอบลิ้นห้อยแทน(ฮา) เพราะตอนที่ขับรถยนต์หรือแม้นแต่ขี่มอเตอร์ไซค์ผมจะไม่เคยรู้สึกนะว่ากระแสลมมันต้านเรามากแค่ไหน แต่พอมาเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาปั่นจักรยานไปทำงานตามปกติ แต่ช่วงเช้าขณะที่จะออกจากบ้านมีสายฝนโปรยปรายเบาๆผมก็รอจนกระทั้งฝนเริ่มหยุดจึงปั่นจักรยานออกจากบ้านบอกได้เลยว่าบรรยากาศช่วงนั้นอากาศมันเย็นสบายๆไม่มีแสงแดดมาเผาร่างกาย สายลมเอื่อยๆทำให้รู้สึกอารมณ์ดีแม้นบนท้องถนนรถจะวิ่งกันขวั่กไขว่ แต่ความสุขสดชื่นมันอยู่ไม่นานเพราะสักพักขณะที่ผมกำลังรู้สึกชิลล์กับบรรยากาศเย็นสบายอยู่ๆก็มีกระแสลมแรงพัดมาพร้อมหอบเอาฝุ่นฟุ้งตลบมาด้วยงานนี้ถ้าไม่ใส่แว่นกันลมกันฝุ่นรับรองว่ามีแสบตาเคืองตากันแน่นอนแรงลมเริ่มแรงไม่ใช่แค่ดันเฆมฝนสีดำให้ก่อตัวหนาแน่นขึ้น แต่ทันทีที่กระแสลมวูบเข้ามากำลังรอบขาของผมตกวูบไปด้วย แรงขาที่ปั่นลงไปมันเหมือนมีอะไรมาต้านไว้ทำให้รถหนักขึ้น(ปกติรถผมมันก็หนักอยู่แล้ว...ฮา) มันทำให้ผมต้องออกแรงปั่นมากขึ้นต้องเปลี่ยนเกียร์เพื่อเพิ่มกำลังที่จะฉุดรถให้ฝ่ากระแสลมไปประกอบกับจังหวะที่กำลังจะปั่นขึ้นเนินสะพานสูงและไหนจะต้องเผชิญกับรถเมล์คันใหญ่พี่ๆรถตู้ที่รีบบึ่งเข้าป้ายเพื่อรับผู้โดยสารที่กำลังจะหนีฝน วินาทีนั้นรถทุกๆคันที่วิ่งผ่านจักรยานผมไม่ได้ผ่านไปเปล่าๆแต่มีของแถมเป็นกระแสลมดูดที่ทำให้รถจักรยานของผมมีสภาพเหมือนตกเข้าไปในหลุมดำเพราะมันเหมือนเกิดช่วงว่างของกระแสลมขณะที่รถใหญ่วิ่งผ่านทำให้รถจักรยานผมแกว่งเอียงมากกว่าปกติโดยระดับการแกว่งขึ้นกับขนาดและความเร็วของรถที่วิ่งผ่านไป(ฮา) แม้นมันจะเป็นช่วงเวลาแค่ไม่กี่นาทีกับการต้องผจญภัยกับสถาณะการณ์จากกระแสลมแต่มันก็ทำให้ผมเรียนรู้ว่าอย่าคิดว่าจะปล่อยใจให้ชิลล์กับสภาพอากาศโดยเฉพาะกับขณะที่คุณกำลังปั่นจักรยานอยู่บนถนนสายหลักๆที่มีรถวิ่งไปมาอย่างรวดเร็วของกรุงเทพมหานคร เมืองที่รถจักรยานยังเป็นแค่ตัวประกอบบนท้องถนน เพราะมันอาจจะไม่ชิลล์อย่างที่คุณคิด


วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2557

ปั่นเมือง เหนื่อยจริง

วันนี้ผมจะของพูดถึงความรู้สึกที่ผมได้ปั่นจักรยานมาระยะหนึ่ง หลังจากที่ซื้อจักรยานมาเพื่อใช้เป็นพาหนะในการเดินทางแทนรถติดเครื่องยนต์ทั้งหลาย

หลังจากที่ได้จักรยานมาในวันแรกผมเริ่มปั่นเบาๆเพื่อวอร์มร่างกายเสียก่อนเพราะร่างกายผมเว้นระยะห่างไปนานกับการปั่นจักรยานรวมถึงการออกกำลังกายอื่นๆด้วย ทั้งนี้ก็เพราะผมมีเป้าหมายเอาไว้ว่าจะปั่นจักรยานไปทำงาน ดังนั้นเพื่อจะให้ไปถึงเป้าหมายที่กำหนดในการซื้อจักรยานมาใช้งานมันจึงต้องเริ่มเตรียมความพร้อมของร่างกายเสียก่อน

ในช่วงอาทิตย์แรกๆที่ได้จักรยานมาผมก็ซ้อมปั่นแถวๆบ้านพักก่อนเพื่อให้เกิดความคุ้นเคย ก่อนที่จะเริ่มปั่นเอาระยะทางเพิ่มมากขึ้นโดยการปั่นเพิ่มระยะทางของผมนั้นผมจะไม่เน้นการปั่นที่เร็วแบบขาแรงทั้งหลายแต่ผมเน้นปั่นชิลล์ๆเพื่อเรียกกำลังเพราะผมปั่นเดินทางในชีวิตประจำวันดังนั้นผมจึงมุ่งไปที่การปั่นแบบต่อเนื่อง อย่าลืมว่าเป้าหมายของผมคือปั่นจักรยานไปทำงานและใช้เป็นพาหนะเดินทางในชีวิตประจำวันในเมืองบนนถนนที่ไม่ใช่สนามแข่งจักรยานดังนั้นไม่จำเป็นต้องเร็วแรงเพราะถ้าผมอยากเร็วแรงด้วรถสองล้อแบบจักรยานผมมีมอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะสองล้อเหมือนกันและมันสามารถพาผมทะลุความเร็วเกือบ300กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้อยู่แล้วไม่ต้องมาโชว์พาว์ปั่นจักรยานลิ้นห้อยแบบนี้ ดังนั้นอย่ามาพูดเรื่องความเร็วของจักรยานเพราะผมไม่สน(ฮา)


หลังจากที่ปั่นสร้างกำลังและความคุ้นเคยกับจักรยานอยู่หนึ่งอาทิตย์ผมเริ่มปั่นไกลขึ้นระยะทางยาวมากขึ้น และใช้เวลาน้อยลงซึ่งอาจจะมาจากการที่ผมจับจังหวะของกำลังขาของตัวเองได้ดีขึ้นว่าควรเร่งควรผ่อนเมื่อไหร่จังหวะในการเปลี่ยนเกียร์ได้ดีขึ้น โดยผมจะปั่นจักรยานทุกเช้า-เย็นโดยปั่นแบบต่อเนื่องไม่หยุดพักเป็นเวลา 2ชั่วโมง ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ผมคำนวณไว้ว่าถ้าผมปั่นจากที่พักแถวๆรามอินทราไปยังที่ทำงานแถวประชาชื่นระยะทางราวๆ20กิโลเมตรไปกลับก็ 40กิโลเมตร ถ้าไม่แวะลั่นล้าที่ไหนก็จะน่าจะใช้เวลาไม่เกินกว่านี้

ที่ผ่านมาผมซ้อมปั่นในรอบสนามในหมู่บ้านในตรอกซอกซอยตามพื้นที่ๆเขามีเลนจักรยานให้ปั่นผมรู้สึกว่าการปั่นจักรยานสองชั่วโมงนี่มันไม่รู้สึกเหนื่อยเลยอาจจะเป็นเพราะผมเป็นนักกีฬามาก่อนเลยรู้จังหวะการหายใจว่าต้องทำอย่างไรมันทำให้ผมมั่นใจมากว่าผมสามารถปั่นไปทำงานได้สบายๆ ดังนั้นอาทิตย์ต่อมาผมจึงเริ่มปฎิบัติภาระกิจปั่นจักรยานไปทำงานครั้งแรก ซึ่งเรื่องมันก็อยู่ตรงนี้ล่ะครับ เพราะเมื่อผมปั่นจักรยานออกถนนใหญ่ฝ่าการจารจรที่แสนยุ่งเหยิงของกรุงเทพ ระยะทางเพียง20กิโลเมตร มันกลับเอาผมเหนื่อยจนลิ้นห้อยมากกว่าการปั่นจักรยานซ้อมเล่นตามพื้นที่โล่งๆ20กิโลเมตรเสียอีก มันเป็นเพราะอะไร?

ผมสังเกตว่าการปั่นจักรยานในพื้นที่โล่งๆที่จัดไว้สำหรับปั่นจักรยานหรือตามพื้นที่กินลมชมวิวต่างๆนั้นมันไม่ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยได้เท่ากับการปั่นอยู่บนถนนในเมืองอย่างกรุงเทพ นั่นอาจจะเป็นเพราะสภาพของอากาศที่ค่อนข้างมีมลพิษสูงทำให้เรารู้สึกเหนื่อยง่าย หรืออาจจะเป็นเพราะการตื่นตัวของประสาทต่างๆของร่างกายที่ถูกกระตุ้นด้วยอะดีนารีนจากการที่เราต้องระวังรถใหญ่ต่างๆที่พุ่งมาเฉียดเราไปราวกับว่าเราไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้นซึ่งจากสิ่งต่างๆเหล่านี้มันอาจจะทำให้เราเครียดมากขึ้นและเหนื่อยมากขึ้น อีกทั้งถ้าการจารจรติดขัดเราก็ต้องปั่นๆหยุดๆ บางครั้งก็ต้องยกรถขึ้นไปปั่นบนฟุตบาท แต่บางครั้งก็ต้องยกรถลงจากฟุตบาทเพราะมีคนจับจองพื้นที่บนฟุตบาททำธุรกิจเต็มไปหมด(ฮา) แถมผมยังต้องยกจักรยานข้ามสะพานลอยเพราะผมไม่ปั่นจักรยานข้ามฝากถนนหากเลือกได้ผมจะยกจักรยานข้ามสะพานลอยเพราะอย่างไรมันก็ปลอดภัยกว่า สำหรับบางคนอาจจะบอกว่ามันหนักไม่มีทางลาดให้เข็นจักรยานมันลำบากแต่ผมมองว่าจักรยานที่ผมใช้อยู่แม้นจะเป็นจักรยานราคาถูกและหนัก14กิโลกรัม แต่ผมคิดว่ามันไม่ได้หนักอะไรเลย ยกมือเดียวสบายๆ(สำหรับผม) ยิ่งจักรยานที่เขาบอกว่าดีว่าแพงมันก็เบากว่าจักรยานผมซะอีก ยกขึ้นสะพานลอยข้ามฝั่งได้สบายๆก็ไม่รู้จะบ่นกันทำไม?

สรุปที่ผมผัมผัสได้ตอนนี้คือเมื่อปั่นครั้งที่ 2-3-4-5-6....มันก็เริ่มรู้สึกว่าการปั่นจักรยานในเมืองกรุงเทพไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยหากคุณคิดจะทำเพียงแต่คุณอาจจะรู้สึกเหนื่อยมากกว่าการปั่นแบบกินลมชมวิวแบบชิลล์ๆในระยะทางหรือระยะเวลาที่เท่าๆกัน อีกอย่างการปั่นในเมืองไปทำงานบนถนนตลอดช่วงที่ผมเริ่มทดลองปั่นไปทำงานนั้น ผมยังไม่เจอเพื่อนๆนักปั่นคนอื่นเลย ทั้งถนนจึงมีเพียงผมคนเดียวหัวโด่มันยิ่งทำให้รู้สึกว่าผมโดดเดี่ยวเพราะเราไม่มีเพื่อนไว้ให้เหลียวมองหรือส่งสัญญาณให้กำลังใจกัน ผมคิดว่าผมคงจะรู้สึกเหนื่อยน้อยลงและเครียดน้อยลงถ้ามีเพื่อนมาร่วมปั่นจริงจังบนถนนมากขึ้น


EZ noneny AD