วันก่อนผมได้คุยกับผู้ปกครองเด็กนักเรียนท่านหนึ่งที่ตอนนี้เริ่มหันมาสนใจการปั่นจักรยาน โดยเรื่องที่พูดคุยกันก็เป็นเรื่องทั่วๆไปเกี่ยวกับจักรยานทั้งประเภทของจักรยาน ราคา อุปกรณ์ตกแต่ง บราๆๆๆมาจนถึงเรื่องการเตรียมตัวปั่นจักรยานไม่ว่าจะปั่นไปทำงานในชีวิตประจำวัน หรือปั่นไปเที่ยวออกทริป ซึ่งประเด็นมันก็อยู่ตรงที่เราจะต้องเตรียมตัวอย่างไร? เพราะการปั่นทั้งสองแบบนั้นมันไม่เหมือนกัน การปั่นไปทำงานในชีวิตประจำวันมันก็เรื่องหนึ่งการปั่นไปเที่ยวออกทริปมันก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะการเดินทางด้วยจักรยานทั้งสองวิธีนั้นมันต่างกันในความรู้สึกของผมนะครับ
เรามาเริ่มกันที่การปั่นจักรยานไปทำงานกันก่อน การปั่นจักรยานไปทำงานหรือการใช้จักรยานเป็นพาหนะเดินทางในชีวิตประจำวัน อันนี้มันเป็นเป้าหมายหลักของผมเลยครับในการที่มาปั่นจักรยาน บางครั้งผมชอบเขียนอะไรสนุกๆเอาฮาแบบว่า ปั่นลดพุง ลดความอ้วน ซึ่งมันก็มีส่วนอยู่บ้างแต่จริงๆแล้วเป้าหมายหลักๆของผมในการปั่นจักรยานนั่นก็คือเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายจากพลังงานฟอลซิสอย่างน้ำมัน เพราะทุกวันนี้ประชาชนอย่างเราๆซื้อน้ำมันใช้ในราคาที่แพงฉิบหาย ขอโทษครับที่ไม่สุภาพเดี๋ยวลงโทษกระโดดเตะปากตัวเอง (ฮา) มาลองดูว่าผมลดค่าใช้จ่ายได้เท่าไหร่กันก่อนครับ เพื่อท่านที่เข้ามาอ่านบทความนี้จะได้กลับไปลองคำนวณดู ผมปั่นจักรยานจากที่บ้านไปที่ทำงานระยะทาง 18 กิโเมตร หากใช้รถยนต์ผมต้องใช้เวลาราวๆหนึ่งชั่วโมงกว่าๆถ้ารถติด ถ้าใช้มอเตอร์ไซด์ก็จะใช้เวลาราวๆ30-45นาที ขึ้นอยู่กับสภาพการจารจรโดยการเดินทางด้วยพาหนะทั้งสองชนิดนี้ผมต้องเผาผลาญพลังงานน้ำมันไม่ใช่น้อยคิดโดยเป็นค่าใช้จ่ายทั้งเดือนก็เป็นพันบาทต่อเดือน แต่เมื่อผมหันมาใช้จักรยานค่าใช้จ่ายในการเดินทางของผมเท่ากับศูนย์เพราะผมไม่ต้องเติมน้ำมันรถจักรยานและเวลาที่หลายคนกังวลว่ามันจะใช้เท่าไหร่หากต้องเดินทางด้วยพาหนะที่ช้าที่สุดในโลกแบบนี้ ผมขออธิบายให้ฟังครับครั้งแรกที่ผมเริ่มปั่นจักรยานไปทำงาน ระยะทาง 18กิโลเมตร ในเมืองฝ่าการจารจรช่วงเช้า ผมใช้เวลาไปราวๆ1ชั่วโมง20นาที โดยหยุดหอบเป็นระยะ(ฮา) แต่เมื่อร่างกายเริ่มปรับตัวได้กับการเดินทางแบบนี้มันทำให้ผมใช้เวลาน้อยลงครับแถมไม่ต้องหยุดพักเป็นหมาหอบแดดเหมือนวันแรกๆและล่าสุดระยะทาง18กิโลเมตรในสภาพการจารจรของกรุงเทพมหานครเร็วที่สุดโดยการเดินทางด้วยรถจักรยานผมใช้เวลาเพียง 47นาทีเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าวันแรกๆเยอะเลย
แล้วเราจะเริ่มปั่นในเมืองกันอย่างไรท่านผู้ปกครองเด็กนักเรียนก็สอบถามผมเพราะเขาไม่เคยปั่นจักรยานในเมืองอาจจะมีบ้างก็นิดๆหน่อยๆแบบปั่นออกมาที่ถนนเพื่อไปซื้อของในปั๊มน้ำมัน หรือปั่นข้ามไปหมู่บ้านใกล้ๆ
แต่ยังไม่เคยปั่นออกถนนจริงๆจังๆเพราะเขากังวลว่าหากปั่นออกไปอาจจะเกิดอุบัติเหตุ จะโดนคนด่าเพราะไปเก่ะก่ะรถบนถนน ถ้ารถติดจะทำอย่างไร เลนจักรยานก็ไม่มีแล้วถ้าจะข้ามแยกข้ามถนนไปอีกฝั่งจะทำยังไง บราๆๆๆ มากมายกับข้อวิตกกังวลผมจึงให้เหตุผลไปดังนี้
1. เมื่อผมปั่นจักรยานบนถนนในเมืองผมจะปั่นชิดซ้ายสุด ไม่ทำซ่าทำเจ๋งอวดเก่งเป็นขาแรงออกแลนขวาเด็ดขาด เวลาจะแซงก็ต้องมองหลังก่อนว่ามีรถตามหรือไม่ หรือพูดง่ายๆคือเคารพกฎจารจรและรักษามารยาทในการขับขี่ให้มากที่สุดนั่นล่ะครับ
2. เมื่อปั่นผมพยามปั่นตามกำลังไม่ปั่นอัดเร็วๆ แต่จะพยามให้กำลังรอบขาอยู่ในอัตราความเร็วที่คงที่เพื่อให้รถยนต์ที่ตามหลังสามารถคำนวณความเร็วของเราได้ ดังนั้นเมื่อเขาจะแซงก็จะไม่รู้สึกรำคานว่าเราเก่ะก่ะ เคยเจอไหมครับเวลาขับรถพอจะเร่งแซงแล้วเจอนักปั่นบ้าพลังปั่นๆๆๆเร่งเหมือนจะแข่งกับเราพวกปั่นแบบนี้ทำให้รถยนต์ที่ตามเสียจังหวะครับ ดังนั้นใจเขาใจเราไม่อยากโดนด่าหรือโดนชนกระเด็นตายโหงเป็นผีข้างถนนก็อย่าทำครับ
3. จักรยานผมจะติดกระจกมองหลัง แม้นบางคนจะบอกว่ามองไม่ชัดหลอกตา หันไปมองมันเท่กว่าติดกระจกแล้วเก่ะก่ะ แต่เชื่อเถอะครับผมกระจกมองหลังทำให้คุณสามารถมองได้ว่ามีรถอยู่ข้างหลังคุณหรือไม่โดยคุณไม่ต้องเสียสมาธิหันไปหันมาบ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อคุณปั่นในเมืองที่มีรถวิ่งกันมากมาย สำหรับบางคนที่บอกมุดลำบากอันนี้ผมไม่ทราบนะครับมันคงอยู่ที่ความเคยชินกับทักษะของแต่ละคนแต่สำหรับผมติดกระจกปลายแฮนด์ก็ยังมุดซ้ายขวาเวลารถติดได้ปกติสุขดีครับ และนอกจากกระจกมองหลังแล้วพวกไฟท้ายไฟหน้าก็ควรติดไว้นะครับเพื่อความปลอดภัยโดยเฉพาะในเวลากลางคืน
4. เลนจักรยานไม่มี ปั่นยาก ส่วนนี้ผมได้ยินเยอะที่สุดแต่ผมมองต่างกันผมไม่คิดว่ามันยาก และไม่ได้สนใจว่าต้องมีเลนจักรยานเพราะคนใช้จักรยานบนถนนจริงๆน้อยมากๆๆๆผมยกตัวอย่างแค่เส้นทางผมปั่นไปทำงาน18กิโล ผมยังไม่เคยเจอจักรยานคันอื่นที่ปั่นไปทำงานเลยทั้งถนนมีผมอยู่คันเดียว ดังนั้นหลักของผมคือปั่นไปบนถนนเลนซ้ายสุดหากไม่สะดวกก็ยกขึ้นฟุตบาทถ้าทางฟุตบาทโล่งไม่มีใครมาทำธุรกิจบนฟุตบาทมีทางให้ปั่นจักรยานได้ก็ปั่นแต่ถ้าไม่ได้ฟุตบาทแคบ ฟุตบาทพังมีการก่อสร้าง มีคนมายึดทำธุรกิจก็จูงเดินแค่นั้นก็ไปได้ทั่วกรุงเทพแล้วครับ
5. ถ้าจะข้ามแยกข้ามถนนจะทำอย่างไร สำหรับผมมันก็ไม่เห็นจะยุ่งยากอีกนั่นล่ะครับก็ถ้ามันเป็นสี่แยกไฟแดงผมก็จอดติดไฟแดงแบบชาวบ้านเขา แต่ถ้ามองซ้ายมองขวาแยกนั้นมีทางอื่นที่ผมสามารถจูงรถข้ามได้ผมก็จูงข้ามไปไม่ต้องรอติดไฟแดงนานๆ และอย่างที่บอกครับพยามรักษากฎจารจรไม่ทำผิดก็ไม่เกิดอุบ้ติเหตุ
6. สะพานลอยข้ามแยกไม่มีทางลาดเพื่อจักรยาน ส่วนนี้ก็ได้ยินมาเยอะครับแต่สำหรับผมถ้ามีทางลาดเพื่อใช้จูงจักรยานขึ้นสะพานลอยได้ก็จะดีมากครับแต่ถ้าไม่มีผมก็ไม่เดือดร้อนเพราะที่ผมปั่นไปทำงานผมก็ต้องข้ามสะพานลอย 2-4สะพานเป็นประจำ(อยู่ที่เส้นทางที่ผมเลือกปั่นด้วยครับ) แล้วผมข้ามยังไง ง่ายๆครับก็ยกข้ามไปสิครับ ผมเห็นบางคนชอบบ่นเรื่องข้ามสะพานลอยแต่ก็ชอบอวดว่ารถจักรยานที่ใช้นั้นสุดยอดน้ำหนักโครตเบาบางคนทำท่ายกจักรยานโชว์ด้วยแล้วทำไมแค่สะพานลอยยกข้ามไม่ได้ ก็ยกข้ามสิครับรถผมหนัก14กิโล ผมก็ยกข้ามได้สบายๆแล้วพวกรถจักรยานดีๆน้ำหนักเบาๆบางคันไม่ถึง10กิโลยกไม่ไหวเรอะครับ ส่วนบางคนบอกจักรยานแม่บ้านยกไม่ได้ผมก็ตอบเหมือนเดิมครับยกข้ามได้ครับไม่มีจักรยานคันไหนมันหนักเป็นร้อยกิโลหรอกครับอย่างมากก็20กิโลนิดๆ แต่ถ้ายังยืนยันว่ายกไม่ไหวงั้นก็จูงข้ามถนนตรงทางม้าลายหรือแยกไฟแดงครับแค่นั้นเอง
7. จอดแล้วกลัวรถหายเมืองไทยขโมยมันเยอะ บ๊ะๆๆเจอคำพูดแบบนี้ก็ไม่รู้จะบอกยังไงประเทศไหนมันก็มีขโมยทั้งนั้นครับ โซ่ล็อคจักรยานไม่ได้ผลิตและขายแต่ในประเทศไทยใช่มั้ยครับ นั่นก็หมายความที่ไหนๆมันก็มีขโมยทั้งนั้นดังนั้นอย่ามาดราม่าด่าเฉพาะประเทศบ้านเกิดตัวเองเลยครับและเมื่อเราจะใช้จักรยานก็ต้องหาอุปกรณ์มาถ่วงเวลาโจรเพราะมันไม่มีอุปกรณ์ตัวไหนกันได้100% ส่วนตัวผมก็ใช้โซ่ล็อคโดยพยามล็อคกับวัสดุที่หนักหรือเคลื่อนย้ายไม่ได้เพื่อกันการยกไปทั้งคันและไม่จอดจักรยานทิ้งไว้ในที่ลับตาคนก็ทำได้เท่านี้ล่ะครับ
8. อยากใช้ปั่นไปห้างก็ไม่มีที่จอด นี่ก็อีกดราม่าที่ผมได้ฟังบ่อยๆ ผมอาจจะโชคดีที่ผมชอบขี่รถมอเตอร์ไซด์ดังนั้นเมื่อผมปั่นจักรยานเวลาผมจอดในห้างผมก็ไปจอดที่จอดมอเตอร์ไซด์นั่นล่ะครับ โดยพยามจอดให้ใกล้กับยามไว้ ออกปากให้เขาช่วยดูให้หน่อยแม้นเขาจะไม่ได้ดูก็เหอะและล็อครถให้แน่นหนา อีกอย่างผมมีความคิดว่าโจรที่มาในลานจอดรถมอเตอร์ไซด์น่ะมันมาขโมยมอเตอร์ไซด์ไม่ใช่จักรยานครับ(ฮา) และถ้าห้างทำที่จอดจักรยานแล้วเอาไปไว้ในมุมอับของห้างผมว่ามันจะหายง่ายกว่าผมไปจอดที่ลาดจอดมอเตอร์ไซด์เสียอีก อันนี้ความรู้สึกของผมนะ
9. ปั่นในเมืองไปทำงานไม่มีห้องอาบน้ำ นี่ก็อีกประเด็นที่ผมได้ยินบ่อยๆ ส่วนตัวผมปั่นจักรยานไปทำงานก็ต้องมีเหงื่อออกมาเยอะและที่ทำงานผมก็ไม่มีห้องอาบน้ำด้วย แล้วจะทำอย่างไรล่ะ ก็ไม่เห็นยากเลยครับโดยทุกครั้งที่ผมปั่นจักรยานผมจะพกทิชชู่เปียกหรือที่ผ้าเย็นไว้เช็ดตูดเด็กเล็กนั่นล่ะครับติดตัวไว้พอปั่นไปถึงที่หมายผมก็เอาออกมาเช็ดตัว หรือถ้าเหงื่อมันเยอะผมก็จะใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กๆชุบน้ำในห้องน้ำแล้วก็เช็ดตัว จากนั้นบางครั้งผมก็เปลี่ยนเสื้อตัวใหม่แทนเสื้อที่ใช้ปั่นจักรยานมาก็แค่นี้(เวลาปั่นจักรยานผมใส่เสื้อยืดธรรมดาๆนี่ล่ะครับไม่ใช่เสื้อนักปั่นจัดเต็มอะไร) และที่ผ่านมาผมก็ไม่เห็นมันจะยุ่งยากตรงไหน แต่ถ้าคุณเป็นพวกรักสวยรักงามกลัวไม่หล่อกลัวตัวเหม็นมากนักก็อย่าลำบากเลยครับ จักรยานในชีวิตประจำวันไม่เหมาะกับคุณแน่นอน
จะเห็นว่าทั้งหมดที่ผมเขียนมาถึงการปั่นเดินใช้ชีวิตในเมืองนั้นผมไม่พูดเรื่องเครื่องแต่งกายแบบจัดเต็มแบบแฟชั่นเพราะมันไม่เกี่ยวกับการใช้ในชีวิตประจำวัน อุปกรณ์ที่เกียวกับจักรยานที่ผมใช้เวลาเดินทางในเมืองก็คือ ไฟท้าย ไฟหน้า กระจกมองหลัง ไมล์จักรยานเท่านั้น ส่วนอุปกรณ์เสริมก็ได้แก่กระเป๋าจักรยานโดยผมใช้ก็ไม่ใช่ของดีราคาแพงแค่เก็บของใช้จำเป็นได้ เช่นกระเป๋าเงิน โทรศัพท์ แว่นตา ขนมลูกอมทิชชู่เปียก เสื้อยืด ถุงมือ อุปกรณ์จักรยานเช่นไฟท้ายไฟหน้าและไมล์จักรยานที่เราต้องถอดเก็บเมื่อจอดรถ และบังเอิญว่ากระเป๋าจักรยานที่ผมใช้มันสามารถปรับเป็นกระเป๋าสะพายได้ ส่วนหมวกผมใช้หมวกแก๊บซึ่งมันก็สามารถเอามาห้อยเท่ๆไปกับกระเป๋าได้ไม่มีปัญหาทำให้ผมไม่ต้องแบกเป้หลังอีกใบทั้งหมดนี่เป็นหลักที่ผมใช้ในการปั่นจักรยานในชีวิตประจำวันไม่เห็นต้องคิดมากมาย ไม่ต้องเยอะ ไม่ต้องลีลา ไม่ต้องมากพิธี ไม่ต้องจัดเต็มแค่ชิลล์ๆไปกับมันแค่นั้น